ข่าวบันเทิงทีวีไทย ให้อะไรมากกว่าข่าวบันเทิง

ข่าวบันเทิงที่ทาง ทีวีไทย นำเสนอ ให้ดู ก่อนข่าวในพระราชสำนัก เป็นข่าวบันเทิงที่แตกต่างจาก ทีวี ช่อง อื่น เป็นอย่างมาก ดูแล้ว ชอบ ประทับใจ เพราะมีหลายเรื่องราว ที่ไม่รู้ เช่น ประวัติศาสต์ งานศิลปะ งานนำเสนอ สารคดี แม้แต่ การแสดงดนตรีการกุศล ก็หาดูได้ ทาง ข่าวบันเทิง ช่อง ทีวีไทย

ส่วนข่าวบันเทิง ช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 7 หรือแม้แต่ช่อง 9 ดูแล้ว ไม่เป็นที่ประทับใจ เป็นข่าวที่น่าเบื่อมากๆ ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม คนอื่นจะคิดเห็นยังไง ผมไม่รู้

สาเหตุที่ไม่ประทับใจ คือ ข่าวบันเทิง สามสี่ช่องที่ว่า นำเสนอแต่ เรื่อง ราวของ ดารา นักร้อง นักแสดง ผมเข้าใจ คนพวกนี้ มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักของคนในประเทศเป็นอย่างมาก พอคนพวกนี้ ทะเลาะกัน เลิกรักกัน ไม่กินเส้นกัน หย่าร้างกัน ไอ้เรื่องพวกนี้ ผมว่าเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคน แล้วทำใม เราต้องไป ใส่ใจ อยากรับรู้เรื่องราวส่วนตัวของคนพวกนี้ด้วยล่ะ ไม่เข้าใจ หรือว่า ธรรมชาติของมนุษย์ขี้เหม็น ชอบ สอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวคนอื่น น่าจะใช่

ผู้ประกาศข่าวบันเทิง ช่อง 3 ช่อง 7 ช่อง 9 การแต่งกาย ดูดีหน่อย แต่ช่อง 5 นี่แหละ เป็นอะไร ที่ขัดความรู้สึกเป็นอย่างมาก บางครั้ง นำเสนอข่าวบันเทิง ยังต้องเซ็นเซอร์ ร่องนมผู้สื่อข่าวเลย

จบแค่นี้ดีกว่า

เพราะแสวงหา ... ถึงได้มา

นั่งดู ฟุตบอลทีมชาติไทยชุดใหญ่ แข่งกับ ทีมชาติมาเลเซีย ผลที่ออกมา เสมอกัน 0-0 วันก่อน ก็เสมอทีมชาติลาว แบบ น่าแพ้ ก่อนหน้านั้น คนไทย มีความฝันว่า อยากจะเห็นบอลทีมชาติไทยชุดใหญ่ ไปแข่งขันฟุตบอลโลกซักครั้ง ฝันนี้คงต้องรอ อีกซัก ร้อยปี ข้างหน้าเป็นอย่างน้อยถึงจะเป็นจริง

ประเทศที่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันฟุตบอลโลก นับเอาประเทศที่ผ่านรอบคัดเลือกเข้าไปเล่น ยกเว้นเจ้าภาพจัด ทุกประเทศ ล้วนแสวงหานักฟุตบอลที่เก่งๆ มีความสามารถจริงๆ มาเล่นทีมชาติ ส่วนนักฟุตบอลที่เก่งกาจ ขั้นเทพ นอกจากพรสวรรค์แล้ว เขายังฝึกซ้อมอย่างหนัก เพื่อให้ได้มาซึ่งความใฝ่ฝันอันมีเกียรตินี้ พวกเขาเหล่านั้น เพราะแสวงหา เขาถึงได้มา ในสิ่งที่เขาต้องการ

นั่งดูบอลไทยแ้ล้วเหนื่อยจริงๆ แข่งกับมาเลเซีย สมควรจะแพ้ด้วยซ้ำ ถ้ากองหน้ามาเลเซีย คมกว่านี้หน่อย สใตล์การเล่นของทีมชาติไทย ที่เห็น ได้โค๊ช ต่างชาติ มาสอน การเล่น ยังเป็นแบบเดิม ไม่มีการพัฒนาขึ้น คิดว่า อีก ร้อยปี ข้างหน้า คงเป็นแบบนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการเล่นแน่นอน หลังจากนั้นอีกร้อยปี จะเริ่มพัฒนาขึ้น พอสามร้อยปีผ่านไป ทีมชาติไทยคงมีโอกาสได้เล่นบอลโลกซักที

หนังใหม่ ฉายก่อน อเมริกา (โกย)

โฆษณาหนังเรื่องนึง กำลังจะเข้าฉายในประเทศไทย วันที่ 11 พ.ย. 2553 จำชื่อเรื่องไม่ได้ แต่เกี่ยวกับวันสิ้นโลก โฆษณาทางทีวี ชัดเจน ฉายก่อนประเทศอเมริกา

เกิดเป็นคนไทยนี่โชคดีจัง ได้ดูหนังดีๆ ก่อนประเทศอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศผู้สร้างหนังเอง อะไรจะโชคดีขนาดนั้น อเมริกาเป็นผู้ผลิต แต่ให้ประเทศอื่นได้ดูกันก่อน ใจดี จริงๆ ลุงแซม คนไทยเราก็เห่อตามกระแสนิยมกับเขาด้วย มีหนังหลายเรื่อง ที่คนไทยได้ดู ก่อนอเมริกา นี่ไม่ใช่เรื่องแรก ขออภัย จำชื่อหนังภาคภาษาไทยไม่ได้จริงๆ 

กลยุทธ์โกยตลาดของฝรั่งสัญชาติ อเมริกัน เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากๆ สร้างหนังเสร็จ นำออกขายต่างประเทศก่อน ส่วนในประเทศ ไว้ทีหลัง โกยเงินเข้าประเทศก่อนจะได้รวยๆ ฉายหนังต่างประเทศ สัก 2-3 ประเทศ ก็ได้ทุนคืนแล้ว หลังจากนั้นกำไรล้วนๆ 

ราคาตั๋วหนัง 40 บาท ขออภัยอีกครั้ง ผมดูหนังโรงครั้งสุดท้าย ตอนนั้น ราคาตั๋วหนังเป็นราคา 40 บาท ดูได้ 2     เีรื่อง ผมคิดว่าผมได้กำไร จ่ายแค่ 40 แต่ได้ดูหนังต่างประเทศถึงสองเรื่อง ส่วนพวกที่จ่ายค่าตั๋ว ราคา 120 ผม สมน้ำหน้า จ่ายตั้งแพง แต่ดูได้แค่เรื่องเดียว แถมไม่ได้ดู สัตว์ (หนู) เดินวิ่งการกุศลในโรงหนังเหมือนผม 

คิดอีกที ครั้งนั้น ผมจ่ายค่าตั๋วหนังไป 40 บาท ผมไ้ด้จ่ายเงิน ไปต่างประเทศเป็นจำนวน 40 บาท แล้ว ก่อนหน้านั้น ดูมาแล้วไม่รู้กี่รอบ จ่ายไปเท่าไหร่ จำไม่ได้ เงิน 40 บาท ที่ผมหาได้ ไปต่างประเทศหมดเลย 

ประชากรไทย กว่า  60 ล้านคน จ่ายค่าตั๋วหนัง 40 บาท เป็นเงิน สองพันสี่ร้อยล้านบาท ซื้อที่ปลูกบ้านสัก ร้อย เอเคอร์ ยังมีเหลือใช้ไม่หมดเลย

ไม่มีชื่อเรื่อง (หนาว)

ข่าวเล่าว่า ปี 2553 จะหนาว มากกว่าปี ก่อนๆ หรือจะเรียกได้ว่า หนาวที่สุด ในรอบหลายปี ก่อนที่ลมหนาวจะมาเยือน สัญญานเตือนว่า ฤดูหนาว กำลังจะมาถึง สำหรับผม ผมจะสังเกตุแมลงปอ เมื่อไหร่ ที่ผมเห็นฝูงแมลงปอบินว่อนไปมา หลังจากที่ฝูงแมลงปอ หายไป ไม่นาน ลมหนาวก็มา เป็นอย่างนี้ทุกปี คนต่างจังหวัด  จะสามารถพบเห็นแมลงปอได้ แต่ในเมืองกรุง ไมู่้รู้ว่าจะเคยเห็นกันบ้างหรือเปล่า

คนเมืองกรุง จะรู้หรือเปล่า ว่าลมหนาว ที่ต่างจังหวัด นั้น มันหนาวเหน็บขนาดไหน ตั้งแต่มาอาศัยอยู่ในเมืองกรุง เกือบยี่สิบปี ไม่เคยได้สัมผัสหน้าหนาวที่ว่า หนาวเหน็บเลยซักครั้งเดียว ไม่เหมือนต่างจังหวัด ขนาด ลมหายใจเป็นไอเย็น ออกมา เหมือนในหนังเลย สมัยเด็กๆ หน้าหนาวมาทีไร ผมจะสนุกมากๆ เพราะผมสามารถพ่นควันออกจากปากได้โดยไม่ต้องสูบบุหรี่

กองฟางในอดีตเป็นเพียงภาพในความทรงจำ ปัจจุับันฟางจะมัดเป็นฟ่อน หรือไม่ก็ทิ้งไปตอนที่รถเกี่ยวข้าวพ่นฟางออกมาจัดเรียงให้เป็นรูปทรงโดมมีเสาตรงกลางแทบจะไม่มีให้เห็นเลย เด็กสมัยใหม่คงไม่รู้จักการหลบภัยหนาวเข้าไปนอนในกองฟางข้าวแน่ๆ ไม่ว่าจะหนาวขนาดใหน มุดเข้าไปนอนในกองฟางสุดแสนจะอบอุ่นเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านขนาดแท้ในการแก้หนาวของคนในชนบท

ความสุขในชีิวิต ที่แท้จริง

ในแต่ละวัน ชีวิตคน 1 คน มีความสุขกับการดำเนินชีิวิตกันมากน้อยแตกต่างกันไป ผมคิดแบบนั้น และความสุขในการดำเนินชีวิต การใช้ชีวิตของแต่ละคน ก็แตกต่างกัน จะมีเหมือนกันบ้าง ก็เป็นความชอบของแต่ละคนที่มีโอกาสจะเหมือนหรือคล้ายกันได้ การจะอธิบายนิยามของความสุขในชีวิต คงมีนิยามที่แตกกันมากมาย ตามแต่ที่เราจะมองความสุขในชีวิตเราออกมา ไม่มีผิด ไม่มีถูก ความผิดหรือถูก มาตรฐานในการวัด ก็แตกต่างกันไปอีก นั่นแล

บางคน มีความสุข ที่ได้รับรู้เรื่องราว (ส่วนตัว)คนอื่น
บางคน มีความสุข ที่ได้นำเรื่องราว (ส่วนตัว) คนอื่นมาเผยแพร่ (ชอบขุดคุ้ย)
บางคน มีความสุข ที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ชอบ
บางคน มีความสุข ที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น
ฯลฯ

แล้วความสุขทีแท้จริง ของแต่ละคนล่ะ คืออะไร คนที่จะตอบได้ คือ ตัวเอง ทำอะไรแล้วมีความสุข นั่นคือคำตอบ

ผมเห็นโฆษณา เนสกาแฟ ที่คุณนิรุจน์ แสดง โดยส่วนตัว ผมไม่ดื่มหรอก เนสกาแฟ เหตุผลคือ ไม่อร่อย แต่ ก็มีบางคน บอก อร่อย ก็เ็ป็นความเห็นที่แตกต่าง ไม่มีถูก ไม่มีผิด สิ่งที่ผมเห็นในหนังโฆษณาคือ ความสุขของมนุษย์เดินดิน คนหนึ่ง ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา อยากจะทำ และตั้งใจทำ คุณนิรุจน์ ดูมีความสุขในชีวิตมากๆ กับสวน ที่ลงมือทำด้วยตัวเองกับมือ เป็นความสุขเล็กๆ ที่เกิดจากใจ จริงๆ

ขอให้ทุกคนที่ค้นเจอ บทความนี้ของผม มีความสุขกันทุกคน นะครับ
ตั้งอยู่บนพื้นฐานความพอดี ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ชีวิตเราก็เท่านี้แหละครับ

เข้าใจ ... แต่ไม่ยอมรับ

สามีภรรยาคู่หนึ่ง อยู่กินกันมาเกือบจะสิบปี สามีเป็นคนขยันทำมาหากิน มองโลกในแง่ดี เหนื่อยแค่ไหนไม่เคยปริปากบ่น งานหนักเอา เบาสู้ เป็นคนพูดน้อย ตลอดเวลาที่อยู่กินกันมา สามีไม่เคย บ่น ด่าว่า ภรรยาเลย ซักครั้งเดียว ข้อเสียของสามี คือ เป็นคนขี้ลืม แต่เขาก็ตั้งหน้าตั้งตา ทำงาน หาเลี้ยงภรรยา ด้วยความรัก ฝ่ายภรรยา เ็ป็นคนขี้หงุดหงิด บ่น ด่า สามีอยู่ตลอด ทุกครั้งที่สามีภรรยาคู่นี้ทะเลาะกัน เกิดจากความขี้โมโห ของฝ่ายภรรยา แทบทั้งสิ้น

สามีเข้าใจภรรยา เป็นคนขี้บ่น ขี้โมโห และเข้าใจในตัวตนของภรรยาเป็นอย่างดี จึงยอมรับในความเป็นตัวตนของภรรยา ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน ฝ่ายสามีจะเงียบๆ ไม่โต้ตอบ แม้แต่น้อย เพราะเข้าใจและยอมรับ จึงคิดว่า ไม่นาน ภรรยา ก็จะหยุดไปเอง แล้วก็หยุดไปเอง จริงๆ ตามสามีคิด

ฝ่ายภรรยา เข้าใจ สามี บอกกับสามีทุกครั้งที่หลังจากทะเลาะกัน ว่าเข้าใจในตัวตนของสามี แต่สิ่งหนึ่งที่ฝ่ายสามีไม่เข้าใจภรรยาคือ เข้าใจ แล้วทำไม ยังบ่น ยังด่า ยังว่า ได้ตลอด นั่นคงเป็นเพราะ ภรรยา เข้าใจสามี แต่ไม่ยอมรับในตัวตนของสามี

ผลสุดท้าย สามีภรรยา คู่นี้ ก็เลิกลา กันไป โดยที่ฝ่ายสามี อดทน อดกลั้นมาตลอดเวลาที่อยู่กินกัน เป็นฝ่ายบอกเลิกกับภรรยา ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่ต้องการ ทนต่อเสียงบ่น เสียงด่า ของภรรยา อีกต่อไป

ช่วงนี้ มีข่าว ครอบครัวที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงบ้านเรา ทะเลาะกัน เป็นเรื่องภายในครอบครัวเขา เราคนนอก ไม่ควรไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องภายในบ้านคนอื่น สื่อบันเทิง ก็พยายามขุดคุ้ย(หาพระแสง) กันจัง เพื่อจะได้ขายข่าว ได้เงิน แต่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เจริญแท้ แม่คุณเอ๋ย

เรื่อง เน่า มนุษย์ ขี้เหม็น

เวลาที่ผมได้รับฟังเรื่องต่างๆ เช่น คนนั้นทะเลาะกับคนนี้ คนโน้นแอบกิ๊ก กับคนโน่น จากคนรอบข้างหลายครั้ง ผมก็จะบอกไปว่า "มนุษย์ขี้เหม็น ก็เป็นแบบนี้แหละ อย่าไปใส่ใจเลย"  ด้วยนิสัย และ สันดาน ที่ชอบอยู่อย่างสงบ ไม่ชอบความวุ่นวายของผม พอได้รับรู้ รับฟังเรื่องแบบนี้ที่ไร ผมไม่ได้มีความรู้สึกอยากรู้ อยากเห็นเลย อ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันนี้ (12 ต.ค. 53) เห็นมีข่าว นักแสดงหญิง คนหนึ่ง โดนเผยแพร่ คลิปเสียง ทางอินเตอร์ ผมก็อ่าน แค่นั้น รายละเอียดในหนังสือพิมพ์ไม่ได้สนใจอ่านเลย  สำหรับผม ข่าวนี้ มันไร้สาระมากๆ แต่เอามาลง หนังสือพิมพ์ทำไม

เรื่องของมนุษย์ มีทั้งเรื่องเน่าเหม็นเหมือนขี้ และเรื่องดีๆ มากมาย แล้ววแต่เรา จะอยากเีรียนรู้ด้านไหนมากกว่า แต่เท่าที่เห็น พอมีเรื่องอื้อฉาว ของใครสักคน ทีนี้แหละ คนส่วนใหญ่ จะติดตาม อยากรู้อยากเห็น เช่น ที่ผ่านมา มีนักร้อง นักแสดง ระดับ ซุปเปอร์สตาร์ ของเมืองไทย คนหนึ่ง (แต่ผมไม่รู้จัก ไม่รู้ด้วยว่า หมอนี่ ดังขนาดนั้น ได้ยินชื่อ ยังนึก หน้าตาไม่ออกเลย) หนังสือพิมพ์ ทีวี เสนอข่าวกันจังเลย แต่มีทีวี ช่องนึง เสนอข่าว เจ้าหมอนี่ น้อยมาก อืม ดูทีวีช่องนี้ แล้ว สบายใจดีจัง ไม่มีโฆษณา มารบกวน ละคร ก็มีสาระ ไม่เน่าเหม็น อีกต่างหาก

มีทีวีช่องนึง ดูแล้ว เสียความรู้สึกมากๆ โดยส่วนตัวแล้ว รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ มีรายการที่ชอบ อยากดู ก็ยังตัดใจ ไม่ดูมันเลย มันพูดออกอากาศ อยู่ได้ ไม่อายประชาชีแม้แต่น้อย "ถ่ายทอดบันทึกการแข่งขัน" พูดออกมาได้ หน้าด้านๆ

มนุษย์ขี้เหม็น ก็เป็นแบบนี้แหละ ช่างมันเถอะ

แปลกใจ ใครใช้ Email ฉัน ????


วันนี้ (11 ต.ค. 2553) ผมเช็ค Email ตามปกติ ก็เจอเรื่องแปลกใจอีกครั้ง ใครกัน ใช้ Email ของผม ส่งข้อความไปหาคนอื่น เพื่อโปรโมท โฆษณา  งง!!! ภาพแรกเป็น Email อีกบัญชีหนึ่ง ที่ผมใช้งานอยู่ แล้วมี Email ส่งจาก Mail บัญชีของ Google ซึ่งใช้ในงานเท่านั้น ส่งมาถึงตัวเองได้ยังไง ทั้งที่ผมไม่เคยส่งข้อความแบบนี้เลย แถมเป็นภาษาอังกฤษอีกต่างหาก ในความเป็นจริง ผมไม่ได้เก่งภาษาขนาดนั้น งง!! ครับ มากด้วย



ภาพที่สอง กลับไปดู Mail บัญชี Google เช็ค จดหมายที่ส่งแล้ว มีการส่ง Email  จริงๆ เอ แล้วใครล่ะ ใช้ Mail ของผม งง !!! ครับ งง มากๆ เท่าที่จำได้ วันที่ 8 ต.ค. 253 ผมแค่ เช็ค Mail บัญชี Google เท่านั้นเอง ไม่ได้ใช้ ส่ง Mail หาใครเลย

้ระมัดระวังกันบ้างนะครับ อาจจะมีเรื่องมาหา โดยที่เราไม่ได้ก่อ ก็เป็นได้ครับ

สัญญาน อันตราย


เช้าวันนี้ ผมเปิด เ็ช็ค Email ตามปกติ ผมใช้ Mail ของ google หรือ Gmail พบความผิดปกติเกิดขึ้น โดยการแจ้งเตือนจาก Google คือ มีคนที่ผมไม่รู้จัก จากประเทศจีน เปิด Mail ของผม และทำการ ส่งข้อมูลอะไรที่ผมไม่รู้ ออกไป เป็นจำนวนหลายครั้ง คิดว่า น่าจะมีเคลือข่ายอยู่ในประเทศไทยเราด้วยก็ได้ เพราะ ข้อมูลที่ได้รับจาก Google พบว่า มีข้อมูลบางอย่างเกิดขึ้นในประเทศไทยด้วย

จากรูปด้านบน IP ที่ผมใช้งาน คือ 125.24.18.179 มีข้อมูลการใช้งาน สองบรรทัด ผมใช้เช็ค Email ตามปกติ ส่วนที่เหลือทั้งหมด ไม่ใช่ผมแน่นอน อยากจะขอเตือนทุกท่านนะครับ ให้ระมัดระวังกันไว้ก็ดี เพราะบางที วันดีคืนดี ท่านอาจเป็นหนี้โดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้นะครับ

ปัจจุบัน แก็ง Callcenter ก็ถูกจับกันไปมากแล้ว ไม่แน่ นี่อาจจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งให้ มิจฉาชีพ ก็เป็นได้นะครับ

เจอลักษณนี้ ให้ทำตาม คำแนะของ Mail ที่เราสมัครใช้บริการนะครับ อย่างผม เปลี่ยน รหัสผ่านไปเรียบร้อยแล้วครับ

กลัวจริงๆ เป็นหนี้โดยไม่รู้ตัวนี่

ความจนคือโรคร้าย ยารักษาหายถ้าขยัน

เมื่อตอนที่ผมยังเป็นเด็กพอเริ่มจำความได้ เริ่มได้เรียนหนังสือ อ่านออก เขียนได้ แต่แผ่นป้ายที่พ่อผมเขียนติดผนังไว้ ผมมองและอ่านทุกวัน แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าพ่อ เขียนไว้ทำใม แผ่นป้ายเล็กๆ แผ่นนั้นมีข้อความแค่ สองบรรทัดเอง

บรรทัดแรก     ความจนคือโรคร้าย
บรรทัดที่สอง  ยารักษาหาย ถ้าขยัน

ข้อความแค่สองบรรทัด แต่ผมไม่เคยลืม จนวัยจะสี่สิบเข้าไปแล้ว ข้อความแค่สองบรรทัดของพ่อทำให้ผมไม่ต้องลำบากในปัจจุบัน แต่ไม่ถึงกับร่ำรวยเป็นเศรษฐี

บางคนขยันมาก แต่ก็ยังเป็นโรคร้ายอยู่ คงเป็นเพราะ ขยันทำ แต่ไม่ขยันเก็บ หามาได้มาก ก็ใช้จ่ายมาก
บางคนขยันมาก เก็บมาก ก็เป็นอีกโรคร้ายนึง คือ ไม่แรงทำงาน เก็บมาก กินน้อย ก็ไม่พอดี

จะแก้ปัญหาความยากจน ถ้าทำอย่างถูกวิธี โรคร้ายนี้ ก็จะหมดไป
แล้วจะแก้ด้วยวิธีไหนดีล่ะ???????
ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกัน

เลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า ถ้าเลือกผิดคน ท่านก็จน ต่อไป

ข่าวใหญ่ หน้าหนึ่ง เซ็งเป็ด

หลายวันที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ที่อ่านประจำ เห็นพาดหัวข่าวใหญ่โต หลายวันติดกัน แต่ไม่เคยสนใจที่จะอ่านข่าวนั้นเลย แม้แต่น้อย ผมซื้อหนังสือพิมพ์ไทยรัฐมาอ่านทุกวัน สาเหตุที่อ่านไทยรัฐ เพราะ กระดาษแผ่นใหญ่กว่าเดลินิวส์ อ่านเสร็จแล้ว ปูนั่งได้พื้นที่มากกว่าหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ นิดนึง

พาดหัวข่าวที่ขึ้นหน้าหนึ่ง พาดหัวใหญ่ เกือบทุกวัน เขียนพาดหัวแล้วก็น่าติดตาม แต่ผมกลับไม่อ่านเลย มองเห็นพาดหัวบรรทัดแรก ไม่กี่ตัว ก็ไม่สนใจแล้ว พลิกไปอ่านข้างใน คอลั่มม์ หรือ บทความอย่างอื่น ยังน่าสนใจมากกว่าข่าวนี้อีก

ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ (เขียนชื่อนามสกุลเขาถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้) ผมขอเรียนตามตรง ผมเพิ่งจะรู้ว่า เจ้าหมอนี่เป็น นักร้อง เป็นนักแสดง ระดับซุปเปอร์สตาร์ ของเมืองไทย (แต่ทำใม ผมไม่รู้จักหว่า) เจ้าฟิล์ม นี้ ไม่รู้จักว่าดังขนาดนี้ แต่อีก ฟิล์ม นึง ผมว่าผมติดตามผลงานอยู่ตลอดนะ และ เจ้าฟิล์ม คนนี้ ผมว่า น่าจสร้างชื่อเสียงให้ักับตัวเองและประเทศไทย ได้มากกว่า เจ้า ฟิล์ม รัฐภูมิ เสียอีก ผมกำลังพูดถึง ฟิล์ม รัฐภาค วิไลโรจน์ เจ้าหมอนี่ น่าจะเป็นซุปเปอร์สตาร์เมืองไทย มากกว่า เจ้าหมอนั่นเสียอีก

ช่วงนี้อ่านหนังสือพิมพ์แบบเซ็งๆ (เป็ด) น้ำขึ้นให้รีบตัก อย่าให้ข่าวนี้จบเร็ว เดี่ยวหนังสือพิมพ์จะขายไม่ดีนะขอรับ

เหตุผล ของคนไม่ค่อยพูด(มาก)

แต่ละคนเกิดมา มีบุคคลิก นิสัย การดำรงชีวิต การใ้ช้ชีวิตประจำวัน ล้วนมีความแตกต่างกัน บางคน นิสัยเหมือนหรือคล้ายกัน คุยกัน ถูกคอ คบกันเป็นเพื่อนเป็นสหาย บางคน นิสัยแตกต่าง แต่ก็ยังคบกันได้ ที่ร้ายไปกว่านั้น บางคน นิสัย แตกต่างกัน ความเห็นต่างกันโดยสิ้นเชิง คบกันไม่ได้เลยก็มี เยอะอีกต่างหาก

โดยส่วนตัว ผมเป็นคน ไม่ค่อยพูด พูดน้อย หลายคนบอกว่า คนพูดน้อย แต่ต่อยหนัก อาจจะจริงก็ได้ ในความเป็นจริง ผมก็มีเหตุผลส่วนตัวที่ไม่ต้องการจะพูดอะไรมาก คงเป็นเพราะ คนที่ผมจะพูดด้วย อาจจะไม่พยายามเข้าใจผม หรือ เพราะผมพูดแล้ว เขาไม่รู้เรื่องก็เป็นได้ เป็นต้นว่า ตอนที่ผมยังเป็นลูกน้องเขา เป็นพนักงานธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่ บางครั้ง ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาดได้ ผมจะโดน ทั้งบ่น ทั้งด่า สารพัด ผมก็ไม่ได้เก็บมาคิดมากอะไร เพราะผมพลาดเองจริงๆ แต่พอมาเป็นหัวหน้าคน ลูกน้องทำพลาด ผมไม่เคยบ่น หรือด่า เลย ได้แ่ต่บอกว่า ให้ระวัง คราวหน้าต้องระมัดระวังมากกว่า เท่านั้นเอง เหตุผลส่วนตัวที่ผมทำแบบนี้กับลูกน้องผม เพราะว่า สิ่งที่มันพลาดพลั้งไป ผมไปบ่น ไปด่า แล้่วเจ้าความผิดพลาดนั้น มาจะหายหรือเปล่า ก็ไม่ ผมกลับคิดไปอีกทางนึง ผมจะแก้ปัญหานั้นยังไงดี ผมจะมีทางออกของความผิดพลาดนั้นยังไง นี่คือสิ่งที่ผมคิด แต่ไม่พูดออกมา ผมจะนิ่งๆ พิจารณาความผิดพลาด แล้วลงมือ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น

บางครั้งลูกน้องทำกาแฟหกใส่เอกสารสำคัญ หันมาขอโทษ ขอโพย  ผมก็ได้แต่บอกว่า ไม่เป็นไร เพราะด่าไป บ่นไป กาแฟก็ยังเปียกเอกสารสำคัญของบริษัท อยู่ดี แล้วผมจะบ่น จะด่าทำไมล่ะ เมื่อมันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย นอกจาก จะเช็ดกาแฟ ผึ่งแดดผึ่งลม ให้เอกสารแห้ง เท่านั้นเอง

ความทุกข์ของฉัน ... ความสุขของมัน

เย็นวันเสาร์ที่ไร กลับจากที่ทำงาน พอมาถึงที่พัก เป็นต้องรู้สึกหงุดหงิดอยู่เรื่อยๆ ซึ่งปกติก็เป็นคนใจเย็นพอสมควร จอดรถมอเตอร์ไซค์ ก็มีรถมาจอดในที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ แล้วก็เิปิดเพลงฟัง นั่งรับประทานเหล้ากัน ถ้าแบบนี้ ดีหน่อย จอดรถไว้ข้างกำแพงตึกได้ มีทางเดินขึ้นตึกได้

บางวัน จอดรถมอเตอร์ไซค์ได้ แต่เดินขึ้นตึกลำบากหน่อย ก็พวกรับประทานเหล้า เอารถมาจอดปิดทางขึ้นลง ซะงั้น แต่จอดรถมอเตอร์ไซค์ได้ พวกเขามีความสุข กับการเสพสุรา ร้องรำ ทำเพลง  แต่ฉัน มีความทุกข์ ทั้งต้องเดินเบียด ขึ้นคอนโด ทั้งต้องจอดรถมอเตอร์ไซค์ เป็นความทุกข์ของฉัน แต่พวกมัน มีความสุข

เขียนเรื่องนี้เพราะไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรดี เอาเรื่องใกล้ตัว(เอง) นี่แหละ มาเขียน อาจจะทำให้สบายใจขึ้นมาบ้างก็ได้

ก็ไม่เข้าใจ ทำใมมนุษย์ขี้เหม็น ถึงได้เห็นแก่ตัวแบบนี้ มีความสุข แต่ทำให้คนอื่นลำบาก

พระจันทร์สวยจัง... คิดถึงบ้าน

นั่งมองพระจันทร์ที่เต็มไปด้วยป่าปูน ตึกสูง สะพานแขวน เจ้าพระจันทร์นี่ก็สวยไปอีกแบบนึง แต่พระจันทร์ดวงเดียวกันนี้จะเหมือนที่บ้านหรือเปล่า ความคิดเริ่มไปไกลถึงบ้านล่ะ ก็แปลก พระจันทร์ที่กรุงเทพ กับพระจันทร์ที่บ้าน มันก็ดวงเดียวกัน แต่ทำไม สวยไม่เหมือนกัน นั่งมองพระจันทร์ที่กรุงเทพ เมืองสวรรค์ สังเกตุดีดี จะเห็นหมอกควันลอยอยู่เป็นระยะ ทั้งฝุ่นละออง ไอเสีย แล้วก็แสงไฟตามท้องถนน มันสะท้อนอะไรบางอย่าง

พระจันทร์ที่บ้าน ไม่มีควัน ไม่มีฝุ่น ไม่มีไอเสียรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม มองเห็นชัดเจน เจ้ากระต่ายน้อยกำลังวิ่งซุกซนอยู่ในพระจันทร์ สวยจริงๆ พระจันทร์ที่บ้านฉัน แล้วแม่ฉันจะเป็นอย่างไร ท่านคงสบายดี คงนั่งดูละครน้ำเน่า และหั่นไก่ ไว้ขายวันรุ่งขึ้นแน่เลย แล้วพี่ชายฉันล่ะ คงเตรียมตัวเรารถไปเข้าวินที่ขนส่ง นั่งรอผู้โดยสารจากกรุงเทพให้ว่าจ้างไปส่งที่บ้าน พี่ชายฉันจะเป็นอย่างไร คงสบายดีตามอัตภาพมั้ง

ย่าของฉันล่ะ ป่านนี้ ท่านคงนั่งไหว้พระสวดมนต์อยู่ในบ้าน ลูกหลานท่านคงเล่นกันยังไม่นอนตามประสาเด็กบ้านนอก ต่างจังหวัด ตื่นสายได้ เพราะโรงเรียนก็อยู่ไม่ใกลจากบ้านเท่าไหร่ ไม่เหมือนเด็กนักเรียนในกรุงเทพเมืองสวรรค์ ต้องเข้านอนแต่หัวค่ำ ทำให้ไม่เห็นพระจันทร์สวยๆ ตื่นมาอีกที ยังไม่สว่างเลย หิ้วกระเป๋าใบเขื่อง ตัวเอง ไปรอรถเมล์ (หลบกระสุนปืนบนรถเมล์) น่าสงสารเด็กกรุงเทพเมืองสวรรค์จริงๆ

โรคร้าย 8 ประการ ความทุกข์ 4 ประการ

จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 25 สิงหาคม 2553 คอลั่มม์ชักธงรบ คุณ กิเลน ประลองเชิง เขียนไว้
อ่านแล้วรู้สึกว่าเข้ากับสภาพสังคมไทยที่เป็นอยู่จริงๆ  ขอคัดลอกบางส่วนมาให้อ่านนะครับ

โรคร้าย 8 ประการ
ทำในสิ่งที่่ไม่ควรกระทำ                  นี่เรียกว่า    แส่เสือก
คนอื่นไม่เชื่อแต่ก็พูดไม่รู้จบ             นี่เรียกว่า    เพ้อพล่าม
พูดในสิ่งที่คนอื่นเขาอยากฟัง           นี่เรียกว่า    ประจบ
ไม่รู้ดีชั่ว เออ ออตามคนอื่น             นี่เรียกว่า    สอพลอ
ชอบนินทาความผิดคนอื่น               นี่เรียกว่า    ใส่ไคล้
ทำลายความสัมพันธ์ของคนอื่น        นี่เรียกว่า    ยุแยง
ยกย่องคนชั่วขับไล่คนที่เกลียดชัง     นี่เรียกว่า     เจ้าเล่ห์
ไม่แยกดีชั่ว ทำดีกับสองฝ่าย            นี่เรียกว่า    กลิ้งกลอก

โรคร้ายทั้ง 8 ประการนี้ ภายนอกก็ก่อกวนคนอื่น ภายในก็ทำร้ายตัวเอง

ทุกข์ 4 ประการ
คิดแต่จะทำเรื่องใหญ่เพื่อหาชื่อเสียง                             นี่เรียกว่า   มักใหญ่
อวดฉลาด ทำตามใจชอบ เอาแต่คามคิดเห็นของตัวเอง    นี่เรียกว่า   ถือดี
มองเห็นความผิดตน แต่ไม่ยอมแก้ไข โกรธเมื่อโดนตำหนิ  นี่เรียกว่า   ยโส
ถ้าความเห็นนั้นตรงกับตน ก็ว่าถูก ถ้าความเห็นไม่ตรงกับตน ก็ว่าไม่ดี  นี่เรียกว่า ทะนง

คนคนหนึ่ง ถ้าหากมีความทุกข์ทั้ง 4 ประการ ก็ ยากที่จะหาความสุขในชีวิตได้ครับ

บุญ... เบิกได้

ผมไปติดต่องานที่สำนักงานที่ดิน สาขาอำเภอพระประแดง ระหว่างรอเจ้าหน้าที่เรียก ตามบัตรคิว เห็นหนังสือ "คู่มือ อุทิศบุญ ที่ได้ผล" เป็นหนังสือพิมพ์แจกเป็นธรรมทาน ไม่มีวางขายนะครับ เลยหยิบมาอ่านและ เก็บใส่กระเป๋าไว้เล่มนึง

เป็นความรู้ใหม่ ครับ เราสามารถเบิกบุญได้ ด้วยวิธีง่ายๆ บุญที่เราสะสมไว้ ทั้งในอดีตชาติ และ ปัจจุบันชาติ เราเบิกมาใช้ได้ครับ ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันกับ เบิกเงินที่ตู้เอทีเิ็อ็ม

การเบิกบุญนั้น ที่สำคัญคือ ต้องอาศัยอำนาจพระรัตนตรัยขึ้นนำก่อนเสมอ คือให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า "ด้วยอำนาจของพระพุทธเจ้า ด้วยอำนาจของพระธรรม ด้วยอำนาจของพระสงฆ์ จงบันดาลให้บุญของข้าพเจ้าที่ทำมาแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันถึงแก่ .... (จะให้ใครก็ว่าไปครับ เช่น พ่อ แม่ เจ้ากรรมนายเวร เทพ เทวดาผู้ปกปักรักษาคุ้มครองเรา ฯลฯ)

เบิกบุญมาแล้ว ก็หมั่นบุญเพิ่มนะครับ เบิกกันเพลิน บุญหมด ก็ต้องเป็นหนี้อีก

อดทน .... รอแสงตะวัน

บางช่วงของชีวิตคนเรา ต้องมีอับจนหนทางกันแทบจะทุกคน กล่าวคือ ปัญหามา ปัญญาไม่มี ไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิตดี บ้างก็ฟุ้งซ่าน คิดหนัก เป็นบ้าไปเลยก็มี แต่สำหรับบางคน อับจนหนทางจริงๆ แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย แล้วก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงอีกต่างหาก เพราะอะไร?

ผมไม่รู้หรอกว่า เพราะอะไร ทำอย่างไร บุคคลเหล่านั้นถึงได้ผ่านพ้นมาได้ และเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้ามาจนทุกวันนี้ แต่ที่ผมเข้าใจเองคือ บุคคลเหล่านี้ มีสิ่งหนึ่ง คือ ความอดทน อดทน รอแสงตะวัน แสงแห่งความรุ่งโรจน์ โอกาสของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และแต่ละคนจะคว้ามาได้หรือเปล่าเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่แล้ว โอกาสหลุดลอย ต่อหน้าต่อตา

ไม่ใช่ไม่คว้าโอกาสหรอก แค่ตาถั่ว มองไม่เห็นโอกาสเท่านั้นเอง

ในยามที่เราท้อแท้ ขอให้อดทนไว้นะครับ ปัญหาทุกอย่าง มีทางออกของมันอยู่แล้ว ปัญหามีไว้ให้เราแก้ ไม่ใช่มีไว้ให้เราหนี  ปัญหาอยู่ที่ตัวเราเอง หนีไปขั้วโลก มันก็จะตามหาเราจนเจอ ผมเืชื่ออย่างนั้น ชีวิตมีปัญหา ก็เหมือนเราอยู่ในความมืดนั่นแหละครับ อดทนไว้ ไม่นาน พระอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว

หลังจากพระอาทิตย์ขึ้น  ลุยได้เลย

ดีใจ ... ที่ได้เจอ

ในหนึ่งวันเราได้พบเจอ คนมากมาย หลายคน ดีใจ ที่ไ้ด้เจอ และอีกหลายคน ไม่อยากเจอ เป็นเรื่องปกติ ขนาดเหรียญ ยังมีสองด้านเลย ธนบัตร ยังมีสองด้าน มีมืด มีสว่าง ชีวิต ก็ไม่ต่างกันหรอก มีทั้งด้านมืด และด้านสว่าง ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะเลือกให้คนอื่นเห็นด้านไหนมากกว่าเท่านั้น

ไปถึงที่ทำงาน เจ้าน้ำแข็ง เจ้าน้ำตาล และเจ้าก๋องแ๋ก๋ง จะดีใจ ที่ไ้ด้เจอผม มันจะกระดิกหาง วิ่งมารับถึงหน้าประตูเลยทีเดียว ชื่อทั้งหมดที่กล่าวถึีง เป็น สุนัข (ภาษาสุภาพ) เรียกกันติดปาก ก็หมา นี่แหละครับ ง่ายดี

เจ้าสามตัว นี้จะไม่ดีใจได้ไง ก็ผมให้ ข้าว ทุกวัน ลืมไป ยัง หนุ่มน้อย กับ สาวน้อย อีก สองตัว แล้วก็ แม่สาวน้อย แม่ของ หนุ่มน้อย อีกตัว แม่นมอีกตัว หมดแล้ว ที่เลี้ยงไว้ มีเท่านี้ หนุ่มน้อย กับสาวน้อย เป็น แมวพันธ์ไทย แม่ของสาวน้อย กับ หนุ่มน้อย เป็นแมวพันธ์ไทย ที่พลัดหลงเข้ามาในที่ทำงานผม เห็๋นครั้งแรก มีแผลเหวอะหวะ เต็มหลังเลย น่าสงสาร ก็เลย ให้ข้าวให้น้ำ เลี้ยงไว้เลย ผ่านไปไม่นาน ก็ ให้ลูกมา สองตัว คือ สาวน้อยกับหนุ่มน้อย ส่วนแม่นม ก็แมวพันธ์ไทยอีกนั่นแหละ เอามาจากโรงงาน ลายเสือ ผมก็เรียกเจ้าเสือ สาวน้อยกับหนุ่มน้อย ถูกแม่ผลักใส ก็มากินนมเจ้าเสือแทน

ทุกครั้งที่เข้าไปทำงาน เจ้าพวกนี้จะดีใจที่ได้เจอผม จะพากันออกมารับ หมาสามตัว แมวอีกสี่จะวิ่งล้อมหน้าล้อมหลังเพราะความดีใจ หรือเพราะหิวก็ไม่รู้ ผมก็มีความสุขกับหมา แมวพวกนี้นะครับ ตั้งแต่เลี้ยงหมา กับแมว ที่ทำงาน เจ้านี้ไม่ทะเลาะกันเลย เล่นกันสนุกสนานมาก เห็นแล้วก็รู้สึกดี หมา แมว มันยังปรองดองกันได้

แต่ทำใม คนแท้ๆ ยังต้องมีเหตุในการปรองดองกันด้วย ไม่เข้าใจจริงๆ

สายใยรัก... ของแม่

บทความแรกของเดือน สิงหาคม 2553 หลังจากที่ วุ่นวายกับหลายๆเรื่อง ที่ผ่านมา แต่ละเรื่องหนักเอาการเหมือนกัน วันแม่ เราทุกคน จะบอกรักแม่กัน ในวันนี้ มอบดอกมะลิให้แม่ ส่วนผม ปีนึง ผมจะกลับบ้านหนเดียว คือ ครบรอบวันตายของพ่อเท่านั้น พอวันแม่ ได้แค่โทรศัพท์ไปหาแม่เท่านั้น ถ้าจะกลับไปกราบเท้าแม่ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ผมก็มีปัญหาเรื่องที่ทำงาน ไม่ใช่รักงานมากกว่าแม่ นะครับ

จากเดิมก็แค่พนักงาน ธรรมดา พอมีวาสนาหน่อย ได้นั่งเก้าอี้ผู้จัดการ ถึงได้เข้าใจว่า จะหยุดงานที ลำบากเหมือนกัน ห่วงนั่น ห่วงนี้ ไปหมด เลย อดกลับบ้านไปกราบเท้าแม่ ทั้งที่เมื่อก่อน ตอนเป็นพนักงานธรรมดา กระจอกๆ อยากหยุด ก็เขียนใบลา ก็ได้หยุด เมากัญชา มาทำงานไม่ได้ โทรไปลา ก็ได้หยุด นี่คงเป็นข้อเสียของการมีวาสนามังครับ

แม่ของผม ท่านชอบไปทำบุญ เพื่อนบ้านชวนไปทำบุญ ที่ไหน ท่านก็ไปด้วย แล้วก็โทรมาเล่าให้ผมฟัง แม่ผม ท่านขอพร ให้แต่ลูก ชายทั้งสามของท่าน ประสบแต่ความสุข ความเจริญ รุ่งเรือง กันทุกคน วัดเขาสุกิม วัดหลวงปู่แหวน หล่อพระ สร้างโบสถ์ เพื่อนบ้านชวนไปท่านไปหมด ผมก็อยากให้ท่านไปเหมือนกัน อยากให้ ท่านได้เที่ยว บ้าง ตามประสาคนแก่ แม่ผมอายุ 60 เข้าสู่วัยชราแล้ว

ปัจจุบัน บริษัท ที่ผมทำงาน ปิดกิจการแล้ว พนักงานทุกคน ถูกเลิกจ้างกันหมด นี่คงเป็นความโชคร้ายของพนักงานทุกคน ส่วนผม ในความโชคร้ายที่บริษัท ปิดกิจการ ก็ยังมีโชคดีอยู่นิดหน่อย คือ บริษัท ยังจ้างให้ผมอยู่ต่อ จนกว่า จะแจ้งปิดกิจการ จริง หมายความว่า บริษัท เลิกผลิต ปิดกิจการ แต่ทางเอกสาร ยังไม่ปิด เพราะยังมีภาระผูกพันกับหลายๆ เรื่องอยู่ ยังไม่สามารถปิดได้ทัีนที

ผมมานั่งนึก นี่คงเป็นผล ที่แม่ไปทำบุญขอพรพระให้ผม มัง ผมถึงได้ยังมีพอโชคดีอยู่นิดหน่อย
สายใยรักของแม่ไม่เคยขาดหาย ไม่่ว่าเราจะลำบากขนาดไหน ผมเมากัญชา แม่ไม่เคยรู้ ถ้าแม่รู้เรื่องนี้ ท่านคงจะเสียใจมาก เพราะ พี่ชายคนโตของผม ก็เพิ่งจะเลิก ยาบ้าได้ ไม่กี่ปีเอง
ส่วนผม ในสายตาคนอื่นมอง ผมเป็นเด็กดี แต่บางครั้ง ผมก็อยากลองอะไรที่สุดขั้วบ้าง แต่ก็ัโชคดีที่ไม่ติด

สายใยรักของแม่ไม่เคยขาดหาย จะดีจะชั่ว แม่ก็รักเราอยู่เสมอ ครับ

เหตุผล.?? อยู่ในความไม่มีเหตุผล

นุษย์เดินเดิน อย่างผม และ อีกหลายร้อยล้านคนทั่วโลกเล็กๆใบนี้ ล้วนแต่มีเหตุผลของตัวเองทั้งสิ้นและบางครั้ง ความดื้อรั้นก็ทำให้ไม่มีเหตุผลกันเลย ไม่ฟังเหตุผล ไม่รับรู้เรื่องที่ตัวเองคิดว่า ไม่สมเหตุสมผลกับความคิดของตัว คงเป็นเพราะ มองแต่เหตุ ไม่คำนึงถึงผลที่จะเกิดหรือตามมา

หลากหลายเรื่องราว ที่เกิดขึ้นในโลกเล็กๆ ใบนี้ ล้วนมีเหตุและผลอยู่ในตัวมันเอง พระพุทธศาสนา ยังสอนในเรื่องของเหตุและผล ซึ่งเป็นคำสอน ที่มีมาช้านาน กว่า 2500 ปี เข้าไปแล้ว บางครั้งผมก็ไม่ฟังเหตุผลของเพื่อนร่วมงาน เพราะคิดเอาเองว่า ความคิดของผมนั้นถูกต้อง แต่พอกลับไปนั่งทบทวนใหม่ ผมก็เข้าใจ  บางครั้ง ผมควรจะฟังคนอื่นบ้าง คงทำให้มีข้อผิดพลาดน้อยลง

ไม่มีเหตุผล คำนี้ ถูกใช้กันบ่อยมาก  ผมคิดเอาเอง ว่า ความไม่มีเหตุผล (ของคนอื่น) เป็นเพราะ ตัวเราเอง ที่ไม่ยอมรับฟังเหตุผล ของเขามากกว่า มันทำให้เราคิดมาก ซึ่งจริงๆแล้ว คนเรา นั่งลง คุยกันด้วยเหตุผลของต่างฝ่าย หาข้อสรุปที่ชัดเจน ความไม่มีเหตุผล คำนี้ก็จะไม่ถูกใช้ให้สิ้นเปลืองมากเลย ถ้าเรามัวแต่ยึดติดกับความคิดของตัวเองเป็นหลัก

ความเข้าใจ  บางครั้งเราเข้าใจตัวเอง แต่เราไม่เข้าใจคนอื่น เมื่อไม่เข้าใจคนอื่น ความไม่มีเหตุผลก็จะอยู่เหนือเหตุผล ผลที่ตามมา เล็กๆ แค่ขัดแย้งกัน ใหญ่ๆ ก็ ต่อยกันเลย ก็มี จริงๆ ถ้าเรายอมให้คนอื่นเป็นฝ่ายถูกบ้าง ผมว่า เราจะรู้สึกดี มากๆ เลย อย่างน้อย ก็ทำให้ คนอื่นสบายใจล่ะ แล้วอย่างนี้ เราจะเป็นฝ่ายถูกเสมอไป คงไม่ดี เพราะเมื่อเราคิดว่าเราถูก คนอื่นก็ผิด เมื่อคนอื่นผิด เขาก็ไม่มีเหตุผล ทั้งที่เขาก็มีเหตุผลของเขาอยู่เหมือนกัน แต่มันต่างจากเหตุผลของเรา

หลายวันก่อน ผมได้ดู รายการ นาทีฉุกเฉิน มีรถบรรทุกสิบล้อ คันหนึ่ง ขับเลนส์ขวา ด้วยความเร็มสูง แซง ซ้าย ป่าย ขวา เป็นอันตราย อย่างมาก ผู้คนที่ใช้ถนนร่วมกัน ต่างก็ ด่าทอ เสียหาย และ แจ้งตำรวจจราจร  ด้วย หาว่า คนขับรถสิบล้อ คันนั้น เมายาอีกต่างหาก ถ้าผมอยู่เหตุการณ์ ผมก็คงจะด่าเขาเหมือนกัน สิบล้อคันนั้น ก็ยังวิ่งด้วยความเร็วสูง ไม่มีทีท่าจะผ่อนเลยแม้แต่น้อย พอจุดหมาย คือ โรงพยาบาล ถึงเข้าใจ  เหตุผลที่ขับแบบนั้น เพราะ ต้องพาคนเป็นลมชัก ส่งโรงพยาบาล ถ้าช้า อาจตายได้

ส่วน เหตุผลที่ทนเจ็บ (ต่าย อรทัย ร้อง) ผมเดาเอาเอง ว่า "คงเป็นเพราะโรงพยาบาลอยู่ใกล"

รักครั้งแรก

หลายคน มีรักครั้งแรก กันทั้งนั้น ครับ และทุกคนก็มักจะจดจำ รักครั้งแรก แล้ว มาเล่ากัน ว่าเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ บางครั้ง เล่ากันไป ยิ้มกันไป บางครั้ง เล่าไป ร้องไห้ ไป ก็มี และผมเชื่อทุกคน มีรักครั้งแรกเกิดขึ้นกับทุกๆ คน และ รักครั้งแรก ของทุกคนนี้ ล้วนแต่ สมหวังในความรักกัน ทุกคน ไม่มียกเว้น ครับ

มาถึงตรงนี้ คงมีคนแย้งผม ว่า ไม่จริง รักครั้งแรก ส่วนใหญ่ จะผิดหวัง กันทั้งนั้น ผมก็ขอยืนยันอีกครั้งครับ
ว่า รักครั้งแรก ของทุกคน สมหวังในความรัก 100 % เต็มครับ ส่วนรัก ที่ใครหลายคน บอกว่า ผิดหวังนั้น ไม่ใช่รักครั้งแรก หรอก เป็นครั้งที่เท่าไหร่ ไป นั่งหลับตานึกเอาเองครับ

ความจริง ความรักครั้งแรก ที่เกิดขึ้นกับพวกเราทุกคนบนโลกเล็กใบนี้ ความรักนี้ กว่าเราจะรู้คุณค่า ก็ปล่อยเวลาให้ผ่านเนินนาน ไปเหมือนกัน บางคน ใช้เวลาหลายสิบปี กว่าจะเข้าใจ บางคนใช้เวลาน้อยกว่านั้น และบางคน ทั้งชีวิต ไม่เข้าใจ ก็มี

เดือนหน้า (สิงหาคม) จะมีวันสำคัญ วันหนึ่ง สำหรับ คนที่หา บทความผมเจอ และได้อ่าน สิ่งที่ผมเขียน
พอถึงวันสำคัญ กลางเดือนสิงหา คม คงจะเข้าใจ นะครับ

ว่า รักครั้งแรก ของ พวกเรา เกิดขึ้นเมื่อไหร่????

เมื่อซัก 2-3 ปีก่อน เคยได้รับ อีเมลล์ ฉบับนี้ จนทุกวัน ยังเก็บไว้อยู่ เลย นำมาให้อ่านกันครับ
ทบทวนความจำกัน ครับ


แปดครั้ง ที่แม่โกหก  
1.
เรื่องเริ่มขึ้นตอนเมื่อผมเป็นเด็ก ๆ
ผมเกิดในครอบครัวยากจน ครอบครัวของเราจนมากจนต้องอดข้าวบ่อยๆ เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อถึงเวลากินข้าว...แม่จะแบ่งข้าวมาให้ผมเพิ่มขึ้นอีก พร้อมทั้งพูดว่า"ลูกต้องกินข้าวเพิ่มขึ้นนะ...ส่วนแม ่ไม่ค่อยหิว" นี้เป็นครั้งแรกที่แม่โกหกผม
2.
เมื่อผมเติบโตขึ้น
คุณแม่เพียรพยายามหาเวลาว่างไปตกปลาในแม่น้ำ เพื่อว่าผมจะได้กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของผม แม่ต้มปลาที่ตกมาได้ทำเป็นซุปให้ผมกิน ในขณะที่ผมกินแกงต้มปลา..แม่จะนั่งข้าง ๆผม แทะกิน เศษเนื้อปลาที่ติดอยู่ตามก้างปลาหลังจากที่ผมได้กินเนื้อปลาไปแล้ว ผมรู้สึกตื้นตันใจมาก..ผมพยายามแบ่งเนื้อปลาให้แม่ แต่แม่ปฎิเสธทันควันพร้อมกับกล่าวว่า "ลูกกินเถอะ...แม่ไม่ค่อยชอบกินเนื้อปลา" นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่แม่โกหกผม
3.
เมื่อผมเรียนอยู่ชั้นมัธยม
เราต้องใช้เงินเพิ่มมากขึ้น แม่ต้องหารายได้พิเศษด้วยการรับงานเล็ก ๆน้อยจากโรงงานมาทำที่บ้าน บางครั้งผมตื่นขึ้นมาตอนตี 1 หรือตี 2...ผมยังเห็นแม่กำลังทำงาน "แม่ครับ...นอนเถอะครับมันดึกมากแล้ว พรุ่งนี้แม่ต้องไปทำงานอีก" แม่ยิ้มกับผมพูดว่า "ลูกนอนต่อก่อนนะ...แม่ยังไม่เหนื่อย...นอนไม่หลับ" ครั้งที่ 3 แล้วที่แม่โกหกผม
4.
ตอนเมื่อใกล้จบชั้นมัธยมผมต้องไปสอบเป็นวันสุดท้าย
แม่อุตส่าห์หยุดงานไปเป็นเพื่อนและเพื่อเป็นกำลังใจใ ห้ผม มันเป็นวันที่แดดร้อนมาก ๆ...แม่ต้องรอผมอยู่หลายชม. เมื่อผมทำข้อสอบเสร็จ...รีบออกมาหาแม่ เห็นแม่ผมมีเหงื่อออกท่วมตัว.. แต่ท่านกลับรินน้ำเย็นที่เตรียมมาให้ผมดื่ม ผมเห็นแม่รู้สึกเหนื่อยและร้อนจึงขอให้แม่ดื่มน้ำก่อน แม่พูดขึ้นว่า "ลูกดื่มเถอะ....แม่ยังไม่กระหายน้ำ" นั่นเป็นครั้งที่ 4 ที่แม่โกหกผม
5.
หลังจากที่พ่อผมล้มป่วยและเสียชีวิต
คุณแม่ที่น่าสงสารต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว แต่ก็ยังไม่ค่อยเพียงพอไม่ว่าคุณแม่จะพยายามมากขึ้นเพียงไร คุณลุงที่อยู่ข้าง ๆบ้านท่านเป็นคนดี พยายามมาช่วยเหลือครอบครัวเราเสมอ....เช่นซ่อมแซมบ้า นที่ผุพัง..ฯลฯ เพื่อนบ้านเห็นครอบครัวลำบากมากก็แนะนำให้แม่แต่งงานใหม่ แต่แม่ยืนกรานไม่เห็นด้วย แม่พูดกับผมว่า "แม่มีลูกอยู่ทั้งคน...แม่ไม่ต้องความรักอีก" แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 5 แล้ว
6.
ในทื่สุดผมก็เรียนจบและมีงานทำ
ผมอยากให้แม่ซึ่งตรากตรำทำงานหนักมาตลอดได้พักผ่อนบ้าง แต่แม่ไม่ยอม.....กลับไปตลาดทุกเช้า ขายผักที่หามาได้เพื่อเลี้ยงชีพทั้ง ๆที่ผมพยายามส่งเงินมาให้แม่ (ผมต้องไปทำงานในเมืองที่ห่างไกล) แม่ผมไม่ค่อยยอมรับเงินผม..บางครั้งยังส่งเงินกลับคื นให้ผมอีก แม่พูดกับผมว่า "แม่มีเงินพอใช้แล้ว...ลูกควรเก็บเงินไว้สร้างฐานะ" แม่โกหกผมเป็นครั้งที่ 6
7.
เพื่ออนาคตที่ก้าวหน้า..
ผมตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทด้วยทุนของมหาวิทยาลัยที่ม ีชื่อเสียงในอเมริกา เมื่อผมเรียนจบก็ได้งานทำที่นั่นและมีเงินเดือนค่อนข้างสูง เมื่อทำงานไปได้สักพัก...ผมอยากให้แม่ผมมาอยู่กับผมที่อเมริกา เพื่อว่าแม่จะได้หยุดทำงาน...พักผ่อนให้สบายในบั้นปลายของชีวิต แต่แม่ผมไม่อยากรบกวนผม...บอกผมว่า "แม่ไม่คุ้นเคยกับชีวิตต่างแดน" ครั้งที่ 7 แล้วซินะที่แม่โกหกผม
8.
เมื่อแม่แก่ตัวลงไปเรื่อย ๆ..
ในที่สุดแม่ก็เป็นมะเร็งและต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาล ผมลางานแล้วรีบบินกลับมาหาแม่สุดที่รักทันที แม่ผมนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเมื่อผมไปถึง น้ำตาผมไหลอาบแก้มเมื่อเห็นแม่ซึ่งผ่ายผอมและดูทรุดโทรมลงอย่างมาก แม่รู้สึกดีใจมากที่เห็นผม....พยายามยิ้มอย่างสดชื่น ด้วยความลำบาก ผมรู้ดีว่าแม่ได้ฝืนความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดฝืน จากโรคมะเร็งร้ายที่ลามไปทั่วทั้งตัว ผมโอบกอดแม่พร้อมกับร้องไห้ด้วยความสงสาร หัวใจผมในขณะนั้นเศร้าหมองและเจ็บปวดอย่างที่สุด แม่พยายามปลอบผมด้วยเสียงที่แหบพร่าและสั่นเครือ "ลูกรักของแม่...เห็นหน้าลูกแม่ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว" นี่เป็นครั้งที่ 8 ที่แม่โกหก และเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของแม่ที่โกหกผม

ความรู้ต่ำ ..... การศึกษาสูง

คูณภาพของคน วัดกัีนที่ การศึกษา
คุณภาพของคน วัดกันที่ ความรู้
คุณภาพของคน วัดกันที่ การกระทำ
คุณภาพของคน วัดกันที่ ??????

จะวัดคุณภาพของคน จากตรงไหน ก็ไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก สำหรับผม ความคิดดี ทำประโยชน์ให้ส่วนรวม คนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ ผมว่า คนนั้นคือคนที่มีคุณภาพ เ่ช่น คุณหมอ สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ผู้ริเริ่มโครงการบัตรประกันสุขภาพ ให้กับคนไทยทุกคน หรือ ที่เราคุ้นกับชื่อ สามสิบบาทรักษาทุกโรค

ความรู้ต่ำ ก็เป็นปราชญ์ได้ และมีเยอะมากในเมืองไทย ที่คนเหล่านี้ ได้รับการยกย่อง มากกว่า คนจบการศึกษาสูงด้วยซ้ำ เพราะเกิดจาการกระทำ และความคิด เช่น พ่อเล็ก กุดวงศ์แก้ว ความรู้แค่ ป.4 คุณพ่อได้รับการยกย่องให้เป็นปราชญ์ชาวบ้าน ที่จังหวัดสกลนคร

ผมขอพูดถึงความฉลาดของคนการศึกษาสูง สักเรื่องนะครับ
ผมทำงานที่ พระประแดง สมุทรปราการ (อดีต) เจ้านายผม ใช้ พนักงานซื้อของในบริษัท ให้ไปซื้อนมให้ลูกเขา ที่ ประตูน้ำ โดยให้เหตุผลว่า นมลูกเขาที่ ประตูน้ำ มีราคาถูกกว่าที่อื่น 3 บาท ถ้าซื้อเยอะ ก็คิดว่าคุ้มนะครับ แต่ (อดีต)เจ้านายที่แสนจะฉลาดของผม ซื้อมา 3 แพ็ค ครับ คุ้มจริงๆ

ผมว่า การศึกษาสูง ไม่ได้ช่วยให้คน มีความคิดสูงไปด้วย บางครั้งคนเรียนสูง เรียนมาเยอะ แต่ยังสู้ปัญญาของคน ความรู้ต่ำไม่ได้เลย

ทำใม ..??? ต้องใช้อารมณ์ตัดสิน

คนเราทุกคน เกิดมาก็แตกต่างกันแล้ว ยกตัวอย่างง่ายๆ ภายในครอบครัวเดียวกัน นิสัยใจคอ ก็ต่างกันแล้วครับ นับประสาอะไรกับคนจำนวนมากในสังคม จะไม่แตกต่างกัน ความจริง คนเหมือนกัน ไม่ว่า ชาย หรือ หญิง น่าจะคุยกันรู้เรื่อง น่าจะเข้าใจกัน แต่ในทางกลับกัน ไม่เลย ที่จะเข้าใจกัน เพราะใช้อารมณ์ ของตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ใช้อารมณ์ของตัวเอง ใช้ความรู้สึก ใช้ความคิดของตัวเอง ทั้งนั้น

จริงๆ คนเรา ถ้าตัดอารมณ์ ความรู้สึกในใจ อคติ เวลาคุยกัน น่าจะยืดหยุ่นได้กันทุกคน ขอเพียงมีสำนึกในใจ คุยเรื่องอะไรก็รู้เรื่อง ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ปัญหาทะเลาะกัน หงุดหงิดใส่กัน คงไม่เกิด หรือ อาจจะเกิดน้อย และที่สำคัญ ควรให้อภัยกันและกัน

เวลาที่คนใช้อารมณ์ตัดสิน เช่น สามีภรรยา คู่นึง ภรรยา ให้สามี ไปซื้อ ก๋วยเตี๋ยวเป็ด มาให้กิน กำลังหิว สามีก็ ถามกลับไปว่า "ถ้าไม่มีล่ะ" ภรรยา ก็ใช้อารมณ์ทันที " ก็ไม่ต้องซื้อซิวะ ถามมาได้ โง่ " นั่นละครับ แล้ว อะไรตามมา คิดเอาเองนะครับ (ปัญหาครอบครัว เกิดจากจุดเล็กๆแบบนี้แหละ)

อย่าให้อารมณ์หงุดหงิด มาครอบงำเราได้นะครับ ไม่พอใจอะไร ก็เฉยไว้ ค่อยๆปรับอารมณ์ให้เย็นลงแล้วคุยกันด้วยเหตุและผล เพราะถ้าใช้อารมณ์กันทั้งสองฝ่าย

เก็บปากไว้แตกหน้าหนาวกันดีกว่านะครับ 

ลูกลุงขี้เมา...?????

ขับรถ (มอเตอร์ไซค์) ไปซื้อข้าวให้หมาที่เลี้ยงไว้ กำลังเลือกซี่โครงไก่ หูแว่วได้ยิน วินมอเตอร์ไซค์แถวนั้นเปิดเพลง ลูกลุงขี้เมา ผมก็จำได้ เพราะ ชอบเปิดฟังในออฟฟิศอยู่บ่อยๆ (เวลารู้สึกรำคาญโต็ะข้างๆ) เกิดความคิดขึ้นมา เนื้อเพลงช่างสะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ เห็นภาพชัดเจน ขอชมเชยคุณ ยืนยง โอภากุล (แอ็ด คาราบาว) ด้วยใจจริง ครับ สะท้อนได้ เยี่ยม จริงๆ ถ้ายังไม่เคยฟัง ก็ลองฟังดูนะครับ ที่นี่ครับ
ที่ผมนำเพลงนี้มาเขียน เพราะ ผมก็เป็นคนบ้านนอก (ชนบท) คนนึงเหมือนกัน ลูกอีสาน แท้ๆ เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เมืองสวรรค์ เมืองศรีวิไล แต่สิ่งที่พบเห็น ในเมืองสวรรค์ เมืองศรีวิไล มันต่างจาก สังคมบ้านนอก ของผมอย่างสิ้นเชิง สังคมบ้านผม กินข้าว บ้านนี้ ไปกินน้ำบ้านโน้น แล้วแวะ มานั่งกินขนมหวานตบท้ายอีกบ้านนึง 

ความเหลื่อมล้ำที่เป็นปัญหาอยู่ทุกยุคทุกสมัย ความแตกต่างระหว่างคนเมือง กับคนชนบท แ้ก้ยังไงก็เป็นเรื่องยาก หลายปีผ่านไป คนจน ก็ยังจนอยู่อย่างนั้น คนรวยยิ่งรวยขึ้นไป สิ่งที่คนจนต้องการคือความเ็ป็นอยู่ที่ดีขึ้นไม่ต้องอดอยาก มีเสื้อผ้าใส่ ตามอัตภาพเข้าถึงสวัสดิการของภาครัฐอย่างทั่วถึง  ไม่ได้หวังรวย แค่มีคุณภาพชีวิตที่ดีก็เพียงพอ (่ใครอยากรวยก็ปล่อยให้รวยเสียให้เข็ด)

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมก็เพิ่งจะกลับต่างจังหวัดไปทำบุญครบรอบวันตายพ่อ ก็เห็นชาวนา หลายจังหวัดที่ผ่าน หว่านข้าว ทั้งที่ในนา ยังไม่มีน้ำเลย (หว่านข้าวคอยฝน) ถ้าฝนไม่ตก คงลำบากกันน่าดู รัฐบาลคง
ไม่มีปัญญา ทำให้ฝนตกได้ ก็น่าเห็นใจรัฐบาล (นิดนึง) 

นั่งฟังเพลง ลูกลุงขี้เมา ก็มองเห็นสัจธรรมอย่างนึง "ถึงจะมาจากที่กันดาร แต่ถ้ามีเงิน ก็เป็นใหญ่ได้" ทำให้ทุกคน ต้องดิ้นรนหาเงิน สร้างฐานะให้ตัวเอง จะไ้ด้มีคนนับหน้าถือตา เพราะมีฐานะี ก็คงจะจริง "ไม่มีเงิน ก็เหมือน หมาตัวนึงเท่านั้น"

ลองหาเพลงนี้มาฟัง ดูนะครับ มีสาระดี เนื้อหาดี ทำนองก็เพราะ 



ข้อคิดจากนิทานอีสป

สิงโตตัวหนึ่ง นอนป่วยอยู่ในถ้ำ บอกให้หมาจิ้งจอกให้หมาจิ้งจอก ไปหว่านล้อมกวางตัวใหญ่มาให้ข้ากินเครื่องในและหัวใจของมัน

เจ้าหมาจิ้งจอก ก็ไปหากวาง เมื่อพบกวางตัวใหญ่ตัวหนึ่ง บอกกับกวางว่า "ข้าเห็นสิงโตเจ้าแห่งป่า กำลังจะตาย เขากำลังคิดว่า จะให้สัตว์ตัวไหนเป็นเจ้าป่า จะให้หมู หมูก็เป็นสัตว์ฉุนเฉียว จะให้หมี หมีก็เป็นสัตว์เกรียจคร้าน เสือดาวก็โมโหง่าย เสืองเหลืองก็คุยโว

ดูแล้วสิงโตเห็นว่า กวางแบบเจ้ารูปร่างใหญ่ อายุยืน เขาเจ้าก็ทำให้สัตว์ตัวอื่นเกรงกลัว สรุปแล้ว เจ้ามีคุณสมบัติเหมาะที่จะเป็นเจ้าป่ามากกว่าสัตว์อื่น

คำหวานทำเอากลางเคลิบเคลิ้ม  มันเดินตามหมาจิ้งจอกไปในถ้ำสิงโต เจ้าสิงโต หิวจัด กระโดดเข้าตะครุบ ได้ใบหูกวางไปข้างหนึ่ง กวางตกใจกระโดดหนีเข้าป่าไปได้

ต่อมาสิงโต ก็ อ้อนวอนให้ หมาจิ้งจอก ไปชวนกวางมาอีกครั้ง เจ้าหมาจิ้งจอกเสียไม่ได้ จึงออกไปตาม เจอกวางกำลังนอนเลียแผล เจ้ากวางก็ตะโกนด่า ด้วยความโกรธ ไอ้สัตว์ชั่ว เจ้ามาตามข้าทำไม ข้าไม่กลงกลเจ้าอีกหรอก

เจ้าหมาจิ้งจอกก็ใจเย็น ตอบกลับไปว่า เจ้าสัตว์ขี้ขลาดที่น่าสงสาร เจ้าสงสัยข้าทำไม ข้าเป็นเพื่อนเจ้า การที่สิงโตกัดหูเจ้านั้น มันเป็นเครื่องหมายว่า เขาได้ให้คำสั่งสอนสุดท้ายก่อนที่เขาจะตายจากไป

เจ้าทนไม่ได้แม้รอยขีดข่วนเล็กๆจากสิงโต แก่ๆ ที่ใกล้ตายเชียวหรือ

เจ้ากวางก็ใจอ่อน  หมาจิ้งจอกกล่าวต่อ ผ่านการทดสอบครั้งสำคัญ เจ้าจะรับผิดชอบตำแหน่งเจ้าป่า ข้าขอสาบาน เจ้าจะเป็นนายของข้าในป่าแห่งนี้

กวางตายใจ ยอมเดินตามหมาจิ้งจอกไปหาสิงโต กลายเป็นเหยื่อให้สิงโตจับกิน เนื้อหนังกระดูก สิงโตกินไปจดหมด เหลือหัวใจกวางตกลงพื้น

หมาจิ้งจอกรออยู่นาน ก็ได้ทีตะครุบเข้าปาก ไป สิงโตยังไม่อิ่ม มองหาหัวใจกวาง
หมาจิ้งจอกเลยบอกว่า  อย่าไปหาเลย หมาจิ้งจอกยืนอยู่ในจุดที่ปลอดภัย บอกสิงโตว่า กวางมันไม่มีหัวใจ หากมันเป็นสัตว์มีหัวใจ มันคงไม่โง่เง่าให้ข้าหลอกพามาให้เจ้าตะครุบกินได้ถึงสองครั้งดอก

นิทานจบแล้วครับ
ทิ้งท้ายไว้ ซักนิดครับ
ความมักใหญ่ ไฝ่สูง โลภโมโทสัน ถ้าไม่รู้จักยับยั้ง ก็นำพาให้เราไปสู่จุดจบของชีวิตได้ครับ

อุปสรรค.. ในชีวิตเรา เกิดจากอะไร ???

อุปสรรคในชีวิตคนเรา มีมากมาย หลากหลายรูปแบบ แล้วแต่ว่าเราจะพบเจอุปสรรคใดบ้างในแต่ละวัน ช่วงนี้ฟุตบอลโลก กำลังเข้มข้น ทีมที่จะอยากจะเป็นแชมป์ จะต้องฝ่าฟันอุปสรรค ก็คือ คู่แข่งให้ได้ เอาชนะได้ ก็ถึงฝั่ง คนจนชีวิตดิ้นรนต่อสู้หาเช้ากินค่ำ ก็มีอุปสรรคมากมาย คนทำงานออฟฟิศ ก็ใช่ว่าจะไม่เจออุปสรรค หรือแม้แต่คนรวยล้นฟ้า ก็ตาม ก็ล้วนต้องเจอกับอุปสรรคทั้งนั้น

ผมเขียนบล็อก วันนี้ (1 ก.ค. 2553) เป็นเพราะ ผมกำลังนึกขึ้นได้ว่า ที่ผ่าน ผมเจออุปสรรคอะไรบ้าง ผ่านได้บ้างไม่ได้บ้าง แล้วก็เกิดคำถามขึ้นในใจตัวเอง "อุปสรรคสำหรับผมเกิดขึ้นเพราอะไร"

ผมทบทวนแล้วทบทวนอีก อุปสรรคในชีวิตผมไม่ได้จาก โชคชะตา หรือ ฟ้าลิขิตอะไรเลย แต่มันเกิดจากตัวผมเองทั้งนั้น เกิดจากใจผมเอง เกิดจากจิตใต้สำนึกของตัวผมเองต่างหาก 

เรียนจบใหม่ๆ ไปสอบแข่งขัน ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง สู้เข้าไม่ได้ ผมก็โทษโน่นโทษนี่ ไปเรื่อย ไม่มีวาสนา บ้าง ไม่มีบุญบ้าง แท้จริงแล้ว เกิดจากตัวผมเองต่างหาก เพราะคิดว่า ตัวเองเก่ง (ผมเป็นเด็กเรียนเก่งคนหนึ่ง) พอไปสอบแข่งขัน หนังสือ อ่านบ้างไม่อ่านบ้าง สุดท้ายก็ล้มเหลว แล้วผมก็โทษโชคชะตา โทษดวงไปหมด 

หลายคนเจออุปสรรคร้ายๆ ก็โทษโชคชะตา โทษดวง หาว่าตัวเองไม่มีโชค ไม่มีดวง ผมว่าไม่น่าจะใช่นะ  ลองทบทวนให้ดี อาจจะคิดเหมือนผมก็ได้ ไม่ใช่เพราะโชคชะตา หรือว่า ดวงไม่ดี แต่เกิดจาก การกระทำของตัวเราเองต่างหาก เช่น ขับรถไปเฉี่ยว ไปชน ก็บอกว่า โชคไม่ดี ดวงซวย ลองทบทวนดูให้ดี เป็นเพราะ ตนเฉี่ยวชน ไม่มีสติ ไม่ทันระวังต่างหาก ไม่ใช่ดวงซวยเลยซักนิด 

อุปสรรค หลากหลาย ที่เรามองเห็นอยู่ตรงหน้า เกิดจาก นโนภาพในจิตใต้สำนึกของตัวเอง ทั้งนั้น เราหวาดกลัว สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา เราหวาดกลัวของคิดของเราเอง เราคิดไปเอง เราก็เลยเกิดความกลัว ปัญหาและอุปสรรคที่อยู่หน้า พิจารณาให้ดี ตั้งสติให้มั่น เดินผ่านมันไป แล้วมองกลับมา จะรู้สึกว่า เป็นแค่ลมพัดผ่านตัวเราเท่านั้น

ทุกปัญหา มีทางในตัวเองเสมอ แล้วแต่ว่าจะหาเจอหรือไม่เท่านั้น

จบแล้วครับ 
ดีหรือไม่ดี อย่างไร ติชมให้คำแนะนำได้ครับ
ผมจะนำไปปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ

หมั่นสร้างบารมีไว้ แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง

ผมไปเจอหนังสือเล่มหนึ่ง เก็บไว้นานเหมือนกัน จำได้ว่า ลูกพี่ผม (ผู้จัดการฝ่ายที่ผมทำงานด้วยก่อนที่เขาจะลาออก และผมทำหน้าที่แทน) ให้ไว้ ก่อนที่จะลาออกไปทำธุรกิจส่วนตัว ไม่มีขาย เป็นหนังสือทำถวายวัด เป็นทานบารมี  เปิดหนังสือมาหน้าแรก ผมเห็นว่า ดี เลย เอามาเขียนบล็อก ครับ ขอ คัดลอก หน้านั้นมาทั้งหมดเลย เพราะ ดีจริงๆ

"ลูกเอ๋ย ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอ จึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมมาจนล้นตัว เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรติดตัว แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้ แล้วฟ้าดินจะช่วยเจ้าเอง 


จงจำไว้นะ เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเ้จ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้ ครั้นถึงเวลา ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอยู่ไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย จะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า"


นี่คือคำเทศนา ของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่ได้โปรดชี้ธรรมไว้ในนิิมิต หลังจากที่ล่วงลับไปล้วเมื่อ 100 กว่าปี อันเป็นปฐมเหตุที่ต้องสร้างความดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ผมคัดลองมาทั้งหน้าเลยครับ อ่านแล้ว เข้าใจง่าย 
จบแล้วครับ 
หมั่นสร้างบารมี ทำบุญ ให้ทาน สร้างกุศลไปเรื่อยๆ นะครับ สะสมบารมีไว้ แล้วฟ้าดินจะ่ช่วยเองครับ
สวัสดีครับ

สุข... ทุกข์ อยู่ที่ใจ

ผมจำได้ว่า เคยดู หนังเรื่อง อภินิหารปรมาจารย์ ตั๊กม้อ เป็นหนัง ฮ่องกง น่าจะเมื่อสัก สิบกว่าปี ที่แล้ว ดูครั้งแรก เพื่อความบันเทิง ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแต่เพียงว่า ก็แค่หนังเรื่องนึงเท่านั้น พอเริ่มเติบโตขึ้น นึกอยากจะดูหนังเรื่องนี้อีก เลยไปหาซื้อมาดู แต่ดูเที่ยวที่สองนี้ ผมได้อะไร จากหนังเรื่องนี้ หลายอย่าง

ท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ เป็นผู้สร้าง วัดเส้าหลิน และ กังฟู จีน ที่โ่ด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้ มีคำสอนของท่านมากมาย ที่เราสามารถปรับใช้ในชีวิตประจำของเราได้เป็นอย่างดี หนึ่งในนั้นคือ คำสอน ที่ท่านพูดว่า
สุข หรือทุกข์ อยู่ที่ใจเรากำหนด ทุกอย่าง ล้วนเกิดจากใจเรา ผมว่า ใช่นะครับ เวลาที่เราเป็นสุข ก็เกิดจากใจเรา เอง เวลาเราเป็นทุกข์ ก็เกิดจากใจเราเอง แต่ธรรมชาติของมนุษย์ ไม่เคยโทษตัวเองซักครั้ง

ผมลองคิดง่ายๆ เวลาที่ผมไปใส่บาตรทำบุญทุกวันพระ ใจผมเป็นสุข ที่ไ้ด้ทำบุญสร้างกุศล ไม่ใช่เกิดจาก พระท่านให้ศิลให้พร มันเกิดจาก ใจที่ผมอยากทำบุญต่างหาก  เวลาที่ผมเครียดคิดอะไรไม่ออก ก็ไม่มีใครมาทำให้ผมเครียดหรอก เกิดจากตัวผมเองต่างหาก ที่ทำให้ยุ่งยาก วุ่นวายไปเอง แล้วก็ขาดสติ โทษโน่นโทษนี่ไปเรื่อย เวลาโดนเจ้านายที่บริษัทด่า ก็เกิดจากตัวผมเอง ที่ทำผิดพลาด ไม่ใช่เพราะเจ้านาย นึกอยากจะด่า ก็ด่า

คนเราถ้ารู้จักปล่อยวาง คงดี ถือไว้ก็หนักเปล่าๆ วางลง ทำใจให้สงบ มีสติ ความคิดดีๆ ก็เกิด ท่านพุทธทาส ก็ยังสอนให้เรา อย่าไปยึดมั่น ถือมั่น

คงจบบทความไว้เท่านี้ครับ ต้อง ทำมาหากินอย่างอื่นอีก
สวัสดีครับ

ทำใจ..อย่างมีสติ

ผมอ่านหนังสือ ปัญญาไทย เขียนโดย คุณ พิมพร ชูรอด เนื้อเรื่องในหนังสือ เป็นการเล่าเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวหนึ่ง มีลูกสาว เข้าประกวดนางงาม แต่ ผิดกฎ เพราะผู้เข้าประกวด ต้องเป็นนางสาว (ต้องบริสุทธิ์) ไม่มีครอบครัว (จะแอบมี หรือ ไม่ก็อยู่ในข่ายนี้ทั้งหมด) ตามความเข้าใจของผม กองประกวดตัดสิทธิ์ ทันที ทำให้เสียใจ ร้องไห้ ฟูมฟายกับแม่ แล้วพ่อก็เข้ามาปลอบประโลม อีกคน

สิ่งที่เราเสียไป หรือทำิผิดพลาดไปแล้ว ก็เหมือนสายน้ำ ไม่มีทางไหลย้อนกลับ หรือเราไม่สามารถ นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปอดีตได้ เหมือนโดเรม่อน หรือในหนังเรื่อง Back to the Future (ไม่รู้เขียนภาษาอังกฤษถูกหรือเปล่า สมมติว่าถูกละกัน อิอิ)

มีคำกล่าว " อดีต เป็นตัวกำหนด ปัจจุบัน และ อนาคต"  คิดว่าน่าจะเป็นจริงนะครับ ตามความคิดของผมเอง อดีต เราแก้ไขไม่ได้ ปัจจุบัน ต่างหาก  ที่เราำทำปัจจุบันได้ดีแค่ไหน ปัจจุบันเราเป็นอย่างไร อนาคต เรากำหนดได้ เราเลือกที่จะเป็นได้ ไม่ใช่ ฝากอนาคตไว้กับ โชคชะตา ขงเบ้ง กล่าวไว้ใน สามก๊ก ตอนหนึ่งว่า "เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน" 


หลายปีที่ผ่านมา มีเรื่องราว เกิดขึ้น มากมาย ในชีวิตคนเรา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตุเห็น เป็นประจำืคือ คนเรา เมื่อผิดหวัง หรือ เมื่อทำอะไรผิดซักอย่าง มักจะฟูมฟาย โทษโน่นโทษนี่ สารพัด  ผมก็สงสัย ฟูมฟาย แล้วได้อะไร ทำไม ไม่หาทางแก้ไข หรือป้องกัน ความผิดพลาด ในครั้งต่อไป

คงเขียนไว้ เท่านี้ครับ สำหรับ บทความนี้
เวลา ว่าง หมด แล้ว สำหรับ วันนี้

สำหรับ ท่านที่เข้ามาอ่าน Blog ของผม
ขอขอบคุณ ที่เข้ามาอ่าน ผมอาจจะเขียนได้ไม่ดีเท่ามืออาชีิพ
จะ Comment อะไร ก็ ขอเชิญได้เลยนะครับ ผมจะได้นำไปปรับปรุง

Blog ผมยังใหม่ อยู่ ผมเอง ยังไม่รู้ว่า Blog จะไปหลบ อยู่ซอกหลืบไป ของ Google
ถ้ามีคน หาเจอ ก็เป็นโชคดีของผม (ที่ยังมีคนอุตส่าห์หา Blog เล็ก ๆ ของผมเจอ)
ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ

ขายวัว ส่งควายเรียน

สมัยที่ผมยังเรียนหนังสืออยู่ ในกลุ่มเพื่อนๆ เวลาสอบเสร็จ พวกเราก็จะมักออกมา จับกลุ่มพูดคุยกันเรื่องข้อสอบ ว่า ทำกันได้บ้างหรือไม่ได้บ้าง มีเพื่อนคนนึง ทำข้อสอบแทบจะไม่ได้เลย ก็เลยพูดออกมาเล่นๆ ว่า  "สงสารพ่อแม่ จัง ต้อง ขายวัว ส่งควายเรียน" ผมนึกถึงคำพูดของเพื่อนได้ ก็เลย เอามาเขียน

เพื่อนผม เปรียบตัวเอง ว่า โง่ เหมือนควาย ทั้งที่จริงแล้ว เพื่อนไม่ได้โง่ เลยซักนิด แค่ทำข้อสอบไม่ได้เท่านั้น ปัจจุบัน ตำแหน่งหน้าที่การงาน ดูเหมือนจะ สูงกว่าผมด้วยซ้ำ ผมก็แค่ผู้จัดการฝ่ายในโรงงานเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้นเอง  สิ่งที่ผมแปลกใจ ก็คือ ทำใมคนเรา มักจะเปรียบเทียบตัวเอง เวลาทำอะไรแล้วไม่ได้ มักจะบอกว่า ตัวเอง โง่เหมือนควาย จริงแล้ว ควาย ไม่ได้โง่ เลยซักนิด ที่สุพรรณ มีหมู่บ้านควาย เขาฝึกควายให้เป็น ควายฉลาดได้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ คนไทย สามารถฝึกควายที่หลายคนบอกว่า ควายโง่ ให้เป็นควายฉลาดได้ เห็นแล้วทึ่งครับ

คราวหน้า เวลาที่เราทำอะไรไม่ได้ หรือคิดอะไรไม่ออก ก็อย่าเปรียบเทียบตัวเองว่า โง่เหมือนควายนะครับ เพราะถ้าคิดแบบนี้ ก็อายควายครับ เพราะปัจจุบัน ควายไม่โง่แล้วครับ ขยันขันแข็งอีกต่างหาก เวลาที่คิดอะไรไม่ออก เป็นเพราะสมองเราเหนื่อยล้า มากกว่า ลองทำใจให้สงบ นั่งสมาธิซักครู่ หรืออยู่ในที่ที่อากาศดี สงบๆ แล้วพิจารณาสิ่งเรากำลังทำใหม่ อย่างช้าๆ ค่อยๆคิด ทีละนิด แล้วความคิดจะดีเองครับ
สมองคนเรา ก็ควรจะได้พักผ่อนบ้าง ความคิดดีๆ จึงจะเกิดครับ

ตอนท้าย ขอฝาก ได้นิดนึงครับ
กรรม มุนา วัตติ โล โก    แปลว่า   อย่าทอดปาท่องโก๋ในกระทะที่ไม่มีน้ำมัน

อย่าคิดมาก พักสมอง ความคิดดีๆ จะเกิดครับ

ปล.ผิดถูก ขออภัยครับ

อมตะธรรม

"กรรมเก่าไม่มีใครลบล้างได้ กรรมปัจจุบันจะช่วยเจ้าเอง"
จงจำไว้ลูกเ่อ๋ย..! กรรมที่ทำด้วยเจตนาไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ย่อมมีผลต่อผู้กระทำทั้งสิ้น ไม่มีพรหมเทพองค์ใดช่วยเจ้าลบล้างกรรมนั้นได้ เจ้าต้องช่วยเหลือตนเอง ด้วยการสวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา ผลแห่งบุญ อันเป็นกรรมปัจจุบันจะช่วยเจ้าเอง
อานิสงส์การสวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตา จะทำให้ลูกรู้แจ้ง ในคำสอนของพระพุทธองค์ กายจะมีความสงบช่วยระงับความทุกข์ร้อน จิตจะเบิกบาน อิ่มเอิบใจมีความสุข ยามนอนหลับเจ้าก็จะเป็นสุข ไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย ยามที่ตื่นก็เป็นสุขมีหน้าผ่องใส มีสง่าราศรี อันตรายจากพิบัติภัยใดๆ ย่อม ทำอันตรายไม่ได้ด้วยเทพพรหมมารักษา เมื่อจะตายย่อมไม่หลงลืมขาดสติสัมปชัญญะ แม้ดวงตายังไม่เห็นธรรม แต่ต้องตายจากโลกนี้เสียก่อนก็จะได้ไปเกิดเป็นถึงชั้นพรหมเลยนะลูกเอ๋ย

ผมอ่านหนังสือ ปัญญาไทย  เขียนโดย พิมพร ชูรอด เป็นหนังสือที่ได้รับจากไปรษณีย์ เมื่อหลายก่อน เห็นว่าเป็นหนังสือที่ดี เล่มนึง จึงนำมาเผยแพร่ให้อ่านกัน (สำหรับคนที่หา Blog ผมเจอนะ) หนังสือเล่มนี้เหมือนจะส่งมาประชาสัมพันธ์โครงการ เพื่อสมทบทุนให้กับสมาคมรวมปัญญาคนพิการ

การช่วยเหลือคนพิการ แบบนี้ ผมคิด(เอง) ว่า เป็นทางเลือกที่ดี ที่เราจะให้โอกาส สำหรับคนพิการ ที่มีอยู่มากมายในสังคมไทย ที่เราเห็น ขาขาด แขนขาด ตาบอด ขอทาน ตามสถานที่ต่างๆ นั้น การให้ทางนั้น เป็นการช่วยเหลือที่ปลายเหตุ เท่านั้น ไม่ยั่งยืนอย่างที่ควรจะเป็น

สำหรับคนที่หา Blog ผมเจอ ก็ขอฝาก หนังสือ ปัญญาไทย ไว้ด้วยนะครับ

สนใจหนังสือ สอบถามได้ที่
สมาคมรวมปัญญาคนพิการ
0-2903-6744
0-2903-6750

อ่าน Blog ผมแล้ว แนะนำติชม ได้ที่ กล่อง Comment ด้วยนะครับ
Blog เพิ่งทำเสร็จใหม่ ผมก็มือใหม่หัดเขียน มือใหม่หัดทำ Blog

ขอขอบคุณครับ

ขยันเหมือนควาย & ซื่อสัตย์เหมือนหมา

ขยันให้เหมือนควาย
ผมมาำทำงาน ที่บริษัท (ไม่ขอเอ่ยชื่อ) ในช่วงแรกๆ ยังอ่อนด้อยประสบการณ์ เพิ่งจบ การศึกษามาใหม่ 
จำได้ว่า พอช่วงตรุษจีน ของปีนั้น ประมาณปี 2537 ผมเริ่มทำงาน ปี 2536 กลางปี ราว กลางปี 
ผู้จัดการโรงงาน เป็นคนจีน ไต้หวัน พูดภาษาไทย ได้ ค่อนข้างดี ฟังเข้าใจ แต่ไม่รู้ว่า เขา เข้าใจความหมาย ภาษาไทย มาก ขนาดไหน พอถึงช่วง ท่านผู้จัดการอวยพร ให้พนักงาน 
คำอวยพร ของท่าน ก็เหมือน คำอวยพร ทั่วไป คือ ขอให้ มีความสุข เจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้าในหน้าที่ การงาน และ ช่วยกัน พัฒนา โรงงานให้เจริญ รุ่งเรืองต่อไป 
แต่ คำอวยพรสุดท้าย ท่าน กล่าวกับพนักงานว่า " ขอให้พนักงานทุกคน ขยันให้เหมือนควาย"
พนักงานทุกคน ได้แต่ กลั้นหัวเราะไว้ในใจ บางคนนึกในใจ "มันให้พร หรือมันด่าวะ"
สำหรับผม ในตอนนั้น เกือบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ 
พอเริ่มเติบโต ในหน้าที่การงาน ผมย้อนนึกถึงคำอวยพร ของท่านผู้จัดการ อีกครั้ง 
อืม เข้าท่าแฮะ "ขยันเหมือนควาย" 
ควาย เป็นสัตว์ที่ขยัน ไม่อู้งาน อดทน  ไม่ว่า งานจะหนักแค่ไหน ควายไม่เคยอู้งาน 
ทำให้ผมนึกถึง เออ ถ้าคนเรา ขยัน เหมือนควาย อดทน เหมือนควาย ชีวิตเรา น่าจะดีกว่านี้ 
เจริญรุ่งเรือง มากกว่านี้  แต่ คนเรา มองควายเป็นสัตว์ที่โง่เขลา หาข้อดีแทบไม่เจอกันเลย 
ด่ากันที ก็ หาว่าคนเป็นควาย ความจริง โดนหาว่าเป็นควาย น่าจะดีเหมือนกัน น่าจะขอบคุณคนด่าด้วยซ้ำ เพราะ ควาย บรรพบุรุษของเรา ถึงได้มีข้าวเลี้ยงเรา เพราะควาย เราถึงมีข้าวกิน เพราะควาย เราถึงมีไร่ มีนา สมัยก่อน บ้านไหน มีควายมาก บ้านนั้น มีฐานะดี แตกต่างจากสมัยนี้ บ้านไหนมีฐานะดี บ้านนั้นมีรถเยอะ สมัยก่อน จะเดินทางไปไหนมาไหน ก็ควายอีกนั้นแหละ เห็นคุณประโยชน์ของ ควายมากขนาดนี้แล้ว โดนด่าว่า เป็นควาย ครั้งต่อไป จงภูมิใจเถอะ มันกำลัง ยกย่องให้เราเป็นบรรพบุรุษของมัน อิอิ

ซื่อสัตย์เหมือนหมา
สันดานหมา เวลาคนเขาด่ากัน เปรียบเทียบเราัเป็นหมาซะงั้น ลองพิจารณาให้ดี เป็นหมา ก็ดีไปอีกอย่าง
หมา ซื่อสัตย์ จงรักภักดี  ผมก็เลี้ยงหมาไว้ เวลาทุกใจ ก็คุยกับหมาได้ มันฟังไม่รู้เรื่องหรอก แต่ เราก็มักจะระบายให้หมาที่บ้านฟัง พอได้ระบาย เราก็รู้สึกดี ขึ้น ที่ได้ระบายความเครียด ความทุกข์ใจให้หมาฟัง 
ชีวิตคนเรา จะเจริญรุ่งเรืองได้ ถ้ามีความซื่อสัตย์เหมือนหมา ไม่คดไม่โกง ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เราก็มีความสุขได้ สำหรับคนที่เนรคุณคน ไม่รู้จะรู้สัก อายหมา บ้างหรือเปล่า 
โดน ด่าว่า สันดานหมา ขอให้ภูมิใจเถอะครับ ไอ้คนที่มันด่าเรานั้น มันกำลังยกย่องเรา ว่าเราเป็นคนซื่อสัตย์ ส่วนมันคนที่เราด่า กำลังด่าตัวเอง ว่าเป็นคนเนรคุณคน

จุดเริ่มต้น

ยังคิดไม่ออก ว่าจะเขียนอะไรดี
สำหรับ blog นี้ ทำเพื่อ อะไร ยังไม่รู้เลย
สงสัย นึกอยากจะทำ ก็ ทำ เล่นๆ ไป (อาจเป็นได้)


คงเป็นเพราะ ช่วงนี้ สมอง ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
หรือไม่ก็ ถูกใช้งาน หนัก เกินไป  จึงได้คิดทำ Blog นี้ ขึ้นมา


เผื่อ จะมีความคิด ใหม่ๆ ดีๆ เกิดขึ้น บ้างก็ได้


อยากเขียนอะไร ก็เขียน อยากทำอะไร ก็ทำ
นึกไม่ออก ก็มาเขียน ในนี้ละกัน


เขียนเท่านี้แหละ ไว้เขียนใหม่ ใน ก้าวที่สองละกัน