พี่ จีน โชว์ โหด ........ โหด ยังไง ไปดู กัน

พี่จีน ซะอย่าง มีอะไรบ้าง ที่พี่จีน เขา ทำไม่ได้ บ้าง  คราวนี้ เป็น การ หั่นลูก แอปเปิ้ล แค่หั่น ลูกแอปเปิ้ล มันธรรมดาไป แต่นี่ พี่ท่าน เล่น หั่นลูกแอบเปิ้ล โดย ใช้ แท็ปเล็ต เป็น เขียง ไปดูกันคับ 



เห็นแล้ว ทึ่ง จริงๆ แสดงให้ชาวโลกได้เห็นว่า สินค้าจากประเทศจีน สุดยอดแค่ไหน 

เรื่องเล่าจากทะเลทราย


ได้ฟังเรื่องเล่าจากทะเลทราย ทำให้อดไม่ได้ที่จะนำมาขยายความต่อ ตามประสา คนอยากจะเขียน ฮ่าๆๆ ก็อยากจะเขียนจริงๆนี่ครับ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า โม้มากไม่ค่อยดี เดี่ยวขี้เกียจอ่านกัน 

เรื่องมีอยู่ว่า ท้องทะเลทรายอันเวิ้งว้าง ใกลสุดลูกตา ใครเล่าจะคิดว่า จะมีหญิงสาวที่สวยสดงดงามปานเทพธิดา หล่นลงมาจากท้องฟ้า ใช่ เธอหล่นลงจากท้องฟ้า จริงๆ ก็หล่นลงมาจากเครื่องบินไงล่ะครับ และในท้องทะเลทรายอันเวิ้งว้างนั้น ไร้บ้าน ไร้ผู้คนเดินผ่านไปมา ช่างน่าสงสารอะไรปานนี้ สาวงามปานเทพธิดา นางนี้ ไม่รู้จะไปขอความช่วยเหลือจากใคร น้ำจะดื่มกินก็ไม่มี เสบียงอาหาร ก็ไม่มี อนาถแท้ชีวิต เกิดมาสวยสดงดงามปานนั้น ต้องมาตายกลางทะเลทรายเชียวหรือ

ดูแล้ว เธอช่างท้อแท้สิ้นหวังจริงๆ แต่แล้วโชคดีก็เข้าข้างเธอ เมื่อมีชายหนุ่มรูปงามราวกับเทพบุตรลงมาจุติ กำลังเดินจูงอูฐตัวเมีย ผ่านมาพอดี นับเป็นโชคดีของเธอจริงๆ เมื่อชายหนุ่มรูปงามเดินจูงอูฐตัวเมียมาถึง เธอก็ขอความช่วยเหลือ ชายหนุ่มก็ให้ความช่วยเหลือเธอผู้นั้น โดยส่งน้ำ ส่งเสบียงให้เธอ ชายหนุ่มได้ช่วยชีวิตเธอไว้ 

บุญคุณต้องทดแทน หญิงสาวสุดสวยก็เปรยกับชายหนุ่มว่า "ท่านได้ช่วยชีวิตเราไว้ เราเป็นหนี้ชีวิตท่าน แต่ตัวเราไม่มีของมีค่าใดๆจะตอบแทน ท่าน นอกจากตัวเราเอง ถ้าท่านจะเราตอบแทนบุญคุณท่าน ท่านจะให้เราทำสิ่งใด เรายินดีทำตามที่ท่านเรียกร้องทุกอย่าง"  ชายหนุ่มรูปงามได้ฟังดังนั้น ก็ยิ้มและสบตา กับหญิงงามนางนั้น อย่างมีความหมาย และความหวัง .....

และชายหนุ่มก็เอ่ยกับหญิงงาม นางนั้น "ถ้าอย่างนั้น แม่นาง ท่านช่วยเรา จับอูฐตัวนี้ให้มันอยู่นิ่งๆ สัก 30 นาที จะได้หรือไม่" ด้วยความฉงน หญิงสาวก็เดินมาจับ อูฐตัวเมียที่ชายหนุ่มจูงมาให้อยู่นิ่งๆ 

ด้วยความดีใจ ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณหญิงสาว แล้วเดินไปด้านหลังอูฐตัวเมียทันที "ขอบคุณมากนะแม่นาง ข้าพยายามจะจัดการเจ้าอูฐตัวนี้มาหลายวันแล้ว เพิ่งจะสมหวังก็วันนี้แหละ" 

เจมส์ บอนด์ 007 สกายฟอลล์ ภาคใหม่ (2012)


Skyfall 007 หนังสายลับ เจมส์ บอนด์ ชุดใหม่ มีชื่อภาษาไทย ว่า พลิกรหัสพิฆาตพยัคฆ์ร้าย   กำกับ โดย แซม เมนเดส  ถ่ายทำที่ แอฟริกาใต้ อินเดีย  จีน และ ตุรกี  ทุนในการสร้างภาพยนตร์ เรื่องนี้ 150 ล้านเหรียญสหรัฐ  มีกำหนดเข้าฉายในประเทศไทย วันที่ 1 พฤศจิกายน 2555


ในปี 2012 ซึ่งเถือเป็นการครบรอบ 50 ปี ของภาพยนตร์สายลับ ที่ใช้รหัส 007 ที่เราคุ้นชื่อ เจมส์ บอนด์ หนัง เจมส์ บอนด์ ที่เข้าฉายในปี 2012 นั้น เป็นภาคที่ 23 และในโอกาส ครบรอบ  50 ปี ของหนังสายลับชุดนี้ จึงมีความพิเศษแบบเหนือระดับ ซึ่งจะเป็นหนัง เจมส์ บอนด์ 007ตอนแรก ที่จะเข้าฉายในระบบไอแมกซ์





แดเนียล เคร็ก พระเอกหุ่นล่ำ ผู้รับบท เจมส์ บอนด์ เป็นครั้งที่ 3 กล่าวว่า หนังภาคนี้จะยังคม อารมณ์แบบ ดิบๆ โหด ๆ ในแบบ Casino Royale แต่จะต้องมีความพิเศษกว่าภาคก่อน

สำหรับ เพลงประกอบภาพยนตร์ ได้ อะเดล (Adele) นักร้องสาวชาวอังกฤษ มาขับร้องเพลงประกอบ โดยมีชื่อเพลงว่า Skyfall  ซึ่งแต่งเพลงโดย อะเดล และ พอล เอ็ปเวิร์ธ

ตัวอย่าง หนัง Skyfall 007




บทเรียนสอนลูก...เรื่องแตงโม

เรื่องของแตงโม ที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ อาจจะเป็นบทเรียนสอนอะไรได้บ้างเล็กน้อย จากคำบอกเล่าของผู้ร่วมงานคนหนึ่งที่ทำงานให้เจ้าของกิจการที่เพื่อนทำงานอยู่ พอว่างจากงานก็มีโอกาสได้พบและคุยกันตามประสาเพื่อนที่เคยร่วมทำงานด้วยกันมาก่อน เพื่อนเล่าเรื่องที่เกี่ยวแตงโม ให้ผมฟัง 

เรื่องมีอยู่ว่า ลูกชายคนเล็กของเถ้าแก่ของเพื่อนผม พาครอบครัวไปเยี่ยมพ่อของเขาที่บ้านหลังจากแยกย้ายครอบครัวออกไปอยู่ต่างหาก ด้วยความที่อากง รักหลาน เป็นห่วงหลาน และ เห่อหลาน ก็ได้หาของกินมาให้หลานได้กิน อากงก็ไปหยิบเอาแตงโมในตู้เย็น มาผ่าและซอยแบ่งเป็นชิ้นๆ ใส่จานอย่างดี แล้วนำแตงโมทำเตรียมพร้อมจะกินนั้น มาวางไว้ให้หลานได้หยิบกิน เจ้าหลานชาย ก็เลยบ่นให้อากงฟัง เกี่ยวกับแตงโม "อากง ทำใม แตงโม ที่บ้านอากง มีเม็ดสีดำ เต็มไปหมดเลยล่ะ จะกินได้เหรอ ไม่เหมือนกับที่บ้านหนูเลย แตงโมที่บ้านหนู หม่าม้า เอามาให้กิน หนูไม่เคยเห็นมีเม็ดสีดำนี่เลย แตงโมงที่บ้านอากง ต้องเสียแน่ๆ หนูกินไม่ได้หรอก เอาไปทิ้งเถอะ"  ได้ฟังดังนั้น อากงเลยตวาดหลานกลับไป "แตงโม บ้านพ่อมึงเหรอ ไม่มีเมล็ด" แล้วเถ้าแก่ของเพื่อน ก็เรียกลูกชายกับลูกสะใภ้เข้ามาด่า ทันที

ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ถ้ารักแบบผิดๆ ไม่ให้ลูกได้เรียนรู้ คอยแต่จะป้อนผลสำเร็จแล้วให้ มันจะกลายเป็นดาบสองคม ที่ติดตัวเด็กไปทันที เติบโตขึ้นมันจะรู้อะไรเลย ไม่รู้จักด้วยซ้ำ ว่าผลไม้ต้องมีเมล็ด

และอีกอย่าง เจ้าลูกชายของเล็กของเถ้าแก่เพื่อนผม มันก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับผมมา นานพอสมควร ถึงมันจะเป็นลูกชายเถ้าแก่ และมีฐานะเป็นนายจ้างผม แต่ผมก็ไม่ยอมมันหรอก เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะมัน เอาแต่ใจตัวเอง และผมก็ขัดใจมันทุกเรื่อง

Google พร้อมเปิดตัวมือถือ Nexus รุ่นใหม่

Android and Me ระบุว่า Google  ผู้พัฒนา Android กำลังเตรียมความพร้อมที่จะเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ภายใต้ชื่อ Nexus ออกมา ให้ยลโฉมครั้งแรกในเดือนตุลาคมนี้
สมาร์ทโฟน Nexus รุ่นใหม่ที่พัมนาโดย Google นั้น ตามรายงานได้ระบุว่า เคยมีภาพหลุดที่เป็นรุ่นจำลองออกมา ผ่านสื่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง Android and Me ได้ทำการวิเคราะห์ว่า มีความเป็นไปได้ที่ สมาร์ทโฟนที่เป็นต้นแบบของมือ Nexus นั้น จะเป็น LG Optimus G

แต่ข่าวดังกล่าว ยังไม่ได้รับการยืนยันจาก Google และ Android แต่เมื่อ ตุลาคม 2011 ที่ผ่านมา Google เคยเปิดตัวสมาร์ทโฟนแบรนด์ Nexus มาแล้ว อย่าง Galaxy Nexus ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับระบบปฏับิติการ Android 4.0 ซึ่งเป็นรุ่นแรก ซึ่งผลิดโดย Sumsung

SlachGear ซึ่งเป็นเว๊บไซต์ข่าวไอทีชื่อดัง ก็ได้ร่วมวิเคราะห์ว่า มีความเป็นไปได้ ที่ สมาร์ทโฟนที่จะเป็นเครื่องต้นแบบของ Nexus อาจจะไม่ใช่ LG Optimus G แต่อาจจะเป็นสามาร์ทโฟนที่ใช้ชื่อ  GT-I9260 ของ Sumsung หรืออาจจะเป็น Droid Incredible X ของ HTC นอกจากนี้ SlashGear ยังไม่ตัดความเป็นไปที่ว่า การผลิตสมาร์ทโฟน Nexus ในรอบปี 2012 ของ Google อาจจะเป็นการเลือกให้มีผู้ผลิตมากกว่า 1 บริษัท ซึ่งก็หมายความว่า มีโอกาศที่ผู้บริโภคอาจจะได้เห็น Sumsung LG และ HTC ผลิตมือืถือ Nexus ออกสู่ตลาดพร้อมกันทีเดียว 3 รุ่น ก็เป็นได้

เตรียมเสียตังค์กันอีกรอบ กับเทคโนโลยี ล่าสุดจาก Google  กันได้แล้ว



ที่มาและภาพประกอบจาก
 http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9550000120640

อยากรู้ กตัญญู คืออะไร.... ให้ไปถามหมา

กตัญญู คุณครูท่านสอนพวกเราให้รู้จักตอบแทนผู้มีพระคุณ ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน เราเกิดมาชาติหนึ่ง มีแค่ชีวิตเดียว เราได้ทำอะไรเพื่อเป็นการตอบแทน ความกตัญญู ต่อผู้มีพระคุณบ้าง  หลายคน ทำได้ดีอย่างไร้ที่ติ แต่ก็มีอีกหลายคนและเยอะด้วย ที่มันไม่รู้จักเลย กตัญญู คืออะไร  ตัวอย่างมีให้เห็นเยอะแยะ  ใส่สูทเท่ ขับรถหรู เดินเชิดหน้าชูคออยู่ในสังคม โดยไม่อาย (หมา) คำถามสำหรับคนพวกนี้ กตัญญู คืออะไร มันไม่รู้หรอก ถ้าพวกมันอยากรู้ ให้พวกมันไปถาม หมา

หมา มันรู้จัก กตัญญู มันรู้ว่า กตัญญู คืออะไร  หมา มันรู้ว่า มันจะปกป้องผู้มีพระคุณของมันอย่างไร มันตอบแทนให้ และมันก็รักผู้มีพระคุณของมันอย่างสุดใจ ผมเชื่ออย่างนั้น

พระคุณพ่อแม่ นับว่า ยิ่งใหญ่ พระคุณแผ่นดิน ก็ยิ่งใหญ่ แต่คนที่ลืมพระคุณแผ่นดิน คนพวกนี้ นับวันยิ่งมีเยอะขึ้นทุกวัน ปากมันบอก อยากเห็นแผ่นดินปราศจาก การคอรัปชั่น ฟังแล้วขำ เพราะตัวมันเองนั่นแหละ ที่โคตรจะโกง โกงแผ่นดินไปไม่รู้เท่าไหร่

กตัญญู คืออะไร คำตอบนี้ หาได้ง่ายๆ  ก็ดูจากพฤติกรรม ของ หมา ที่เลี้ยงไว้นั่นแหละ ไม่ต้องไปหาใกลๆ หรอก ถ้าพูดภาษาหมา รู้เรื่อง ก็ ลองถามมันดู หมามันบอกคุณได้แน่นอน เพราะสันดานหมา โดยธรรมชาติ มันก็กตัญญูต่อผู้มีพระคุณอยู่แล้ว สันดานหมา มันกตัญญูต่อเจ้าของบ้าน บ้านก็เปรียบเหมือนแผ่นดินที่ให้เราอยู่อาศัย ให้เรามีชีวิตอยู่บนโลกใบเล็กๆนี้

เดรัจฉาน สี่ขา ที่เรียกขานว่า หมา มันยังรู้จักกตัญญู แล้วคนล่ะ จะไม่รู้จักกตัญญูต่อแผ่นดินบ้างเลยเหรอ พูดแล้ว อายหมา จริงๆ

คุณค่าของความเป็นมนุษย์ มันอยู่ตรงไหน ข้องใจว่ะ

ชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่า ค่าของคน หรือคุณค่าของความเป็นคน มันคืออะไร คำว่าคน ตัวอักษรที่ใช้เขียนคำว่าคน อักษรตัวแรก ค.ควาย เพราะฉะนั้น ควายเป็นสัตว์ที่มีคุณค่า อักษรอีกตัวคือ น.หนู  หนู สัตว์ตัวเล็กๆ สกปรก มีแต่เชื้อโรค ไม่มีคุณค่าอะไรเลย เมื่อ ค.ควาย กับ น.หนู มารวมกัน กลายเป็นคำว่าคน คนคือมนุษย์ เรียกตัวเองว่า สัตว์ประเสริฐ แล้วสัตว์ประเสริฐที่สถาปนาตัวเองว่าคน นั้น มีคุณค่าแค่ไหน

คุณค่าของคน ในปัจจุบัน เห็นได้อย่างชัดเจนมาก เหมือนฟ้ากับ เหว ใครมีเงิน ใครมีอำนาจ สัตว์ประเสริฐตนนั้น มีคุณค่า เหมือนควาย ส่วนคนต่ำต้อยไม่มีเงิน ไม่มีอำนาจ อยู่ก้นเหว ไม่มีคุณค่า เหมือนหนู สัตว์สกปรก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด กลายเป็นข้อเปรียบเทียบได้ดี คือ คดีคนเก็บขยะ เก็บได้แผ่นซีดีเก่าๆ ที่ สัตว์ (ประเสริฐ) ตนไหนก็ไม่รู้ เอาไปทิ้ง คนเก็บขยะเอาไปขาย โดนจับข้อหา ขายสินค้าละเมิดลิขสิทธ์โดยไม่ขออนุญาติ ต้องติดคุกติดตะรางไป  แต่ สัตว์(ประเสริฐ) อีกตนหนึ่ง ขับรถด้วยความประมาท ไม่มีใบอนุญาติขับขี่รถยนต์ เกิดอุบัติเหตุรถชน มีคนตายไป 9 ศพ  สัตว์(ประเสริฐ) ตนนั้น โดนพิพากษามีความผิด แต่ ให้รอลงอาญา ไม่ต้องติดคุกไม่ต้องติดตะราง

อะไรคือคุณค่าของความเป็นคน อะไรคือคุณค่าของคน ค่าของคน คืออะไรหว่า ใครรู้บ้าง ช่วยตอบให้หายข้องใจที
หรือว่า ค่าของคน วัดกันที่ ใครมีเงินมากกว่า ใครมีอำนาจมากกว่า

เรื่อง หมาๆ ของคำว่า "ประหยัดพลังงานไฟฟ้า"

ระหว่างที่นั่งคุยกันเรื่อง การประหยัดพลังงานไฟฟ้า ในที่พัก พวกเราก็จับกลุ่มตั้งวงคุยกันในเรื่องนี้ และสิ่งที่ผมกับเพื่อนๆ ได้ลงมือทำไปล่วงหน้าแล้ว คือการ ปิดสวิทย์ไฟ บางส่วนที่ไม่มีความจำเป็น และการถอดหลอดไฟ ที่ไม่มีความจำเป็นออกไปแล้ว และกำลังคิดกันว่าจะทำยังไงต่อไปเพื่อจะลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในส่วนนี้ให้ได้มากที่สุดโดยที่ไม่เดือดร้อนเรื่องการไม่มีไฟฟ้าใช้ นั่นเป็นเพราะว่าผมโดนตำหนิเรื่องนี้มา (โดนด่านั่นแหละครับ)

พลัน ก็มีหนึ่งเสียง พูดขึ้นมาว่า "จะประหยัดไฟ คือ ไม่ต้องใช้ไฟ"  โอ แม่เจ้า เจ้าของเสียงนี้ ผมแทบจะไม่อยากจะเชื่อว่าจะหลุดมาจากปากคนผู้นี้เลยสักนิด เพราะว่า คนผู้นี้ มัน ขอใช้คำว่า มัน นะครับ มันเป็นถึง อาจารย์สอนหนังสือเด็กโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่า คนที่เป็นถึงครู อาจารย์ จะพูดออกได้ แบบนี้ (หมาชัดๆ)

ทนอยู่ในวงสนทนาไม่ได้ ต้องลุกเดินหนีออกไป (ไปให้ข้าวหมา ดีกว่า) ปัจจุบัน ค่าไฟฟ้าในส่วนที่ผมและคนที่เห็นด้วยได้ลงมือทำนั้น มันประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี เดือนแรก ลดลงในระดับที่น่าพอใจ ไม่ถึงกับมาก เดือนที่สอง ลดลงมากจนคิดน่าจะเป็นผลดีที่สุดแล้ว สำหรับมาตรการ ประหยัดพลังไฟฟ้าในที่พักแห่ง และที่สำคัญ คำพูดหมาๆ ของอาจารย์คนนั้น มันจะต้องสะอึกแน่นอน

โจรห้าร้อย .... ในป่าคอนกรีต

คำว่าโจร ค้นในพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน แบ่งออกได้เป็น โจรห้าร้อยและ โจรกรรม
 

โจรห้าร้อย คำนี้ใช้เรียกขาน พวกคนชั่ว ว่าเป็นพวกโจร แย่งชิง ปล้น ทรัพย์  คนพวกนี้มันชั่วช้าสามานต์ได้ใจจิงๆ ในปัจจุบัน โจรพวกนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนสภาพตัวเอง ซึ่งนับว่าเป็นวิวัฒนาการทางสายพันธ์แนวใหม่ เพื่อให้เข้ากับสภาพในปัจจุบัน พวกมันอยู่ในสังคมในปัจจุบันได้อย่างไม่ต้องหลบ ไม่ต้องซ่อน และกระทำการ แย่งชิง ปล้น ทรัพย์ได้อย่างถูกกฎหมาย และยังเดินเสนอหน้าในสังคมในสื่อโทรทัศน์ได้อย่างไม่มียางอายเลย
 

ในอดีต โจรพวกนี้จะใส่เสื้อผ้ายังไงก็ได้ หลากหลาย แล้วแต่ว่าจะหามาใส่เพื่อห่อหุ้มร่างกาย และปกปิดใบหน้าเวลาออกทำความชั่ว และส่วนใหญ่จะมันออกทำชั่วในเวลากลางคืนซะมากกว่า ไม่รู้มันอายอะไร แต่ในปัจจุบัน โจรที่ว่า มันพัฒนาการมาจนถึงขึ้นมีชุดทำงานเป็นสีเดียวกัน มีหมวก มีอาวุธสามารถเดินถือไปในที่สาธารณะได้อย่างเปิดเผย ชุดทำงานของโจรพวกนี้จะมีสีกีกา อีกอย่างสมัยก่อนใช้ม้าแต่สมัยนี้พวกมันมีรถ ก็ไม่ได้ซื้อเองอีก พวกมันได้รับการบริจาคพาหนะในการใช้ทำชั่วมาด้วย ทั้งรถสองล้อ สี่ล้อ ดูๆไปก็ไม่ต่างอะไรกับขอทานมีเครื่องแบบดีๆนี่เอง
 

พัฒนาการทางสปีชีย์ของพวกมันก็ไม่ได้แพ้สิ่งมีชีวิตใดๆในโลกเลยแม้แต่น้อย สายพันธ์แห่งความชั่ว สายพันธ์แห่งความกักขระ สายพันธ์คอยจ้องหาความร่ำรวยในทางที่ผิด พวกมันสันดานโจรสิงสถิตย์ไปทุกที่ ในป่าคอนกรีตที่ขนานนามว่าเมืองแห่งเทพ สายพันธ์ของพวกมันยิ่งมีมากกว่าที่ไหนๆ  พันธุกรรมที่ชั่วช้าสามานต์เหล่านี้ไม่เคยจางหายไปจากสังคม มีแต่จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
 

กฏหมายมีไว้เพื่อควบคุมพลเมืองให้อยู่ในกรอบแห่งความถูกต้อง กรอบแห่งความดีงาม แต่กฏหมายก็เป็นเครื่องหรืออาวุธชั้นดีที่ทำให้สายพันธ์แห่งพันธุกรรมที่ชั่วร้าย นำมาใช้เพื่อปกป้องตัวเองและใช้เป็นอาวุธปล้น ชิง แย่ง มาซึ่งทรัพย์สินของพลเมือง เพราะว่าพวกมันถือว่า ตัวเองเป็นผู้รักษากฎหมายนั่นเอง

ห่อยังไงก็ล่าย....ให้ลูกค้าแกะลำบากที่สวด

เสียงอาแป๊ะสั่งลูกน้องที่กำลังแพ็คของเตรียมส่งลูกค้า "ห่อยังไงก็ล่าย... ให้ลูกค้าแกะลำบากที่สวด" ฟังดูเหมือนจะขำ แต่ความจริง เรื่องแบบนี้ อาจจะมีอยู่จริง....ก็ล่ายครับ 

หลายครั้งเหมือนกันที่ซื้อกับข้าวถุงมากินที่บ้าน พ่อค้าแม่ค้ากับข้าวจะมัดถุงอย่างดี โป่งลม แต่กับข้าวมีนิดเดียวแค่ก้นถุงเท่านั้นเอง ที่เหลือเป็นอากาศล้วนๆ มัดจนแน่น และหลายครั้งที่มักแกะหนังยางที่รัดถุงไม่ออก ฮึ มันจะมัดอะไรของมันแน่นหนาขนาดนั้น หิวก็หิว ยังจะแกะยากแกะเย็นอีก ว่าแล้วก็ มีดคมๆ นี่แหละ เฉือนปากถุงซะ...........  แล้วก็โยนให้หมากิน ฮ่าๆๆ (ก็มันอาหารหมาน่ะที่ซื้อมา)

รถคันนี้ ............. ไม่มีเกียร์ถอย


เชื่อผมมั้ยครับ ในโลกนี้ มีรถที่ไม่มีเกียร์ถอยอยู่และไม่ได้มีคนเดียวด้วย มีเพียบเลยแหละครับ หลายคนคงคิดว่า จะบ้าเหรอ แล้วเวลาจะถอยจอดทำไง เข็นเหรอ ไม่เอาง่ะ เหนื่อย ใช่ครับ เข็นรถเหนื่อยจริงๆ ถ้าระยะทางใกล้ๆ ก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าระยะทางใกลๆ ละก็ หึหึ...

รถที่ไม่มีเกียร์ที่ผมกำลังจะกล่าวถึง คือ ชีวิตคนเรานี่แหละครับ (โม้มั้งครับ ผมชอบโม้)  หลายครั้งและหลายเรื่องที่ผมมักจะเปรียบเทียบกับการใช้ชีวิตในปัจจุบันและที่ผ่านมา ผมผิดพลาดอะไร ตรงไหน เกิดอะไรขึ้นและผมผ่านมาได้ยังไง บางเรื่องก็จำได้ บางเรื่องก็ทิ้งมันไปเลย

เส้นทางชีวิตที่ผ่านมา เปรียบเหมือนผมกำลังขับรถไปตามเส้นทางอยู่ในขณะนี้ มองเห็นทางข้างหน้าใกลสุดลูกตา ครับ มันใกลจริงๆ และผมก็ขับรถมาได้ใกลมากด้วย ผมเคยหยุดพักมั้ย เคยครับ ผมเคยคิดจะถอยมั้ย เคยครับ (แต่มันหาเกียร์ถอยไม่เจอ) อุปสรรคต่างๆระห่างทาง มันก็มีนะครับ มีมากมีน้อย ตามแต่สถานณ์ในขณะนั้น ทุกชีวิต ผมเชื่อว่ามีเป้าหมายของตัวเองทั้งนั้น และมีเส้นทางที่ทุกคนเลือกที่จะเดินทางไปทั้งนั้น และทุกคนก็ออกเดินทางตามที่ได้เลือกไว้ ก่อนออกเดินทาง ผมเชื่อว่า ทุกมีความฝันอันสวยหรู งดงาม โดยอาจจะลืมคิดถึงอุปสรรคไปเลยแหละครับ ผมก็เป็นแบบนั้น เหมือนกัน อุปสรรคระหว่างมีมากมายและมันก็ไม่ได้แจ้งให้รู้ล่วงหน้าด้วยนะครับ ต่อให้วางแผนการเดินทางมาดีแค่ไหน อย่างน้อยก็ควระเผื่ออุปสรรคบ้างก็ดีนะครับ เพราะชีวิตคือการเดินทาง เดินไปตามฝันของตัวเอง

คนที่จะเดินไปถึงจุดหมายปลายทางที่ฝันได้ คือคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ท้อได้ แต่ถอยไม่ได้ เหนื่อยได้แต่อย่าเหนื่อยนาน ผิดพลาดได้ แล้วก็แก้ไขใหม่ เรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ผมจำวลีหนึ่งได้ จาก ซีรีส์ ญี่ปุ่นเรื่อง จิน หมอทะลุมิติ ออกอากาศ ทางทีวีไทย เมื่อปี 2554 แต่จำไม่ได้ว่าประมาณเดินไหน ผมประทับประโยคที่ว่า "พระเจ้า ประทานอุปสรรคมา เพื่อให้เรา ก้าวผ่าน"

ขอขอบคุณภาพประกอบจากเพื่อนคนหนึ่ง (ไม่ขอเปิดเผยนาม) ครับ

เรื่องของไม้ท่อนหนึ่ง มันยากขนาดนั้นเลยหรือ


เช้าวันนี้ (21 สิงหาคม 2555) ตอนมาทำงาน ผ่านร้านขายไม้แกะสลัก ระหว่างที่จอดรถรอผ่านสี่แยก สายตาอันคมกริบของผม ฮ่าๆๆ (เหมือนจะโม้เลย) ก็เหลือบไปเห็น รูปม้า รูปช้าง รูปสิงห์โต และอีกหลายอย่างที่ช่างแกะสลักไม้ จากท่อนไม้ท่อนหนึ่ง มาเป็นรูปต่างได้อย่างสวยงาม โอ ช่างแกะนี่ คงมีฝีมือใช่ย่อย เพราะมันคือ งานศิลปะ (จำคำพูดของใครมาก็ไม่รู้)

มันสวยนะครับ ในมุมมองของผม เหมาะที่จะนำไปตั้งโชว์ ในบ้าน ในร้านอาหาร หรือ ร้านกาแฟ  ก็มีคำถามสำหรับคนที่แกะไม่เป็น(อย่างผม) หรือใครต่อใครที่ชอบงานแบบนี้แต่ แกะแล้วไม่สวยขนาดนี้ คงจะคิดเหมือนผม มันคงจะยากเนอะ กว่าจะแกะไม้ทีละนิดๆ จนมาเป็นรูปร่างสัตว์ต่างๆ ที่งดงามได้ขนาดนี้ ลองไปถามช่างแกะดู เขาก็ตอบว่า ไม่ยากหรอก จะไปยากได้ไง ก็เขาฝึกฝนมา จนชำนาญและช่ำชองขนาดนั้น คงจะผ่านความล้มเหลว ผ่านความผิดพลาดมานับไม่ถ้วน ผมคิดอย่างนั้นจริงๆนะ

นึกถึงช่างแกะงานเหล่า ผมก็นึกในใจ ลองตั้งคำถามเล่นๆดู เขาจะตอบยังไง คงจะตอบว่า ต้องเตรียมไม้ที่เราจะแกะ เตรียมอุปกรณ์ในการแกะไม้ (มีอะไรบ้างก็ไม่รู้) เตรียมแบบที่เราต้องการจะแกะให้พร้อม ทุกอย่างพร้อม ลงมือแกะ เริ่มจาก ค่อยๆแกะ กระเทาะไม้ออกทีละนิด แกะไปตามแบบ และต้องใจเย็นๆ รีบร้อนไม่ได้ ต้องตั้งสติมีสมาธิกับงานที่ทำ อืม จริงครับ งานทุกอย่าง ต้องตั้งสติ ทำอย่างมีสติ และมีสมาธิ ใส่ความมุ่งมั่นเข้าไปอีก งานที่ออกมาก็ สวยและเรียบร้อย ได้มาตรฐาน

นั่นเป็นแนวคิดที่ผมบอกว่า ยากเนอะ งานถึงได้ออกมาสวยขนาด แต่ด้วยความที่เป็นที่คิดอะไรที่มันง่ายๆ (ไม่ปวดหัว ไม่เปลืองสมอง) และจากที่เคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่ง จำไม่อีกแล้ว ว่าหนังสือเล่มไหน ผมกลับไปแบบง่ายๆ ว่า งานแกะสลักไม้นี่เหรอ จากท่อนไม้ท่อนหนึ่ง กลมๆ สูงๆ ผมอยากได้รูปช้างจากไม้ท่อนนี้ ไม่ยากเลย ผมก็แค่ แกะไม้ ส่วนที่ไม่ใช่ช้างออกไป เหลือมันไว้แต่ส่วนที่เป็นรูปเหมือนช้าง ก็เท่านั้นเอง เออ คิดได้ง่ายดีเนอะ

เออเนอะ คิดแบบนี้มันง่ายดี จริง ความจริงเรื่องราวทุกอย่าง มีเหตุและผลอยู่ในตัวมันเองอยู่แล้วนะครับ มันอยู่ที่เราต่างหากล่ะ ที่จะทำให้มันยุ่งยากซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ผูกปม ถามว่า ทำไปเพื่ออะไร ได้อะไร ในทางกลับกัน ลองคิดว่า ทำเรื่องราวให้มันง่าย เข้าใจได้ง่ายๆ แลสิ่งที่ง่ายๆ เหล่านี้แหละ มันทำให้เราปลอดโปร่ง โล่งใจ สดชื่น สำหรับผมนะ ส่วนคนอื่น จะคิดยังไง ผมไม่อยากจะคิดแทน เพราะไม่รู้จะตรงหรือไม่ตรง น่ะครับ

จบบทความไว้เท่านี้ก่อนนะครับ ต้องนั่งทำงานแล้ว
เดี่ยวลูกน้องจะตำหนิได้ครับ
สวัสดีครับ


ปล. ไม่มีภาพประกอบนะครับ ถ่ายไม่ทัน รถออกตัวพอดี

ตลาดนัด .... มันเป็นแบบนี้แหละ

เอ่ยถึงตลาดนัด หลายคนคงนึกภาพออกนะครับ มันเป็นศูนย์ของสินค้ามากมาย ราคาถูกบ้างแพงบ้างก็ตามแต่ผู้ขายแต่ละคนจะมีต้นทุนที่ต่างกันออกไป นอกจากนี้ มันยังเป็นศูนย์ของเหล่ามิจฉาชีพอีกด้วยนะครับ เออ เดินไม่ระวัง ตังค์หายไม่รู้ตัวด้วยนะ ผมก็เป็นอีกคนนึง ชอบไปเดินตลาดนัด หลังเลิกงาน เป้าหมายหลักไปซื้อกับข้าวถุง มีเวลาก็เดินเล่นดูโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย เหมือนชาวบ้านทั่วไป

เดินตลาดนัด ผมก็มีเป้าหมายรองด้วยนะ ผมชอบเดินดูโน่นนี่ไปเรื่อย ในหัวคิดไว้ ซักวัน อาจจะต้องแปลงร่างมาเป็นพ่อค้าเร่ ขายของตามตลาดนัดแบบนี้บ้าง คิดแล้วน่าสนุกนะ บอกกับตัวเองแบบนี้ ไม่ใช่อะไรหรอก ทำงานประจำมานาน เริ่มเบื่อน่ะครับ

ความเข้าใจเดิมๆ เกี่ยวกับพ่อค้าแม่ค้าในตลาด มันต้องปากตลาด คือ เถียงเก่ง ด่าเก่ง เรานะหรือ จะไปด่ากับใครหว่า เพราะปกติ ก็ไม่ได้ด่าใครอยู่แล้ว แม้แต่ลูกน้องทำงานให้ผมผิดพลาด ผมยังไม่ด่าอะไรเลยได้แต่บอกว่า ไม่เป็นไร เอาไปแก้ใหม่ เท่านั้นเอง ไม่ได้โม้นะครับ ผมใจดีแบบนั้นกับลูกน้องผมจริงๆ

กลับมาที่ตลาดนัดกัน นอกเรื่องไปละ ตลาดนัดทั่วๆไป เดินดูดี บางครั้งเราอาจะได้ของดีราคาถูกๆๆ ติดไม้ติดมือมาด้วยนะครับ เพราะมันมีขายเกือบทุกอย่าง ตั้งแต่ ของกินของใช้ บางครั้งก็มีอะไรเก๋ๆ ไอเดียดีๆ ให้เห็นอยู่บ่อยๆ สินค้า ก็มีมากมาย จากต่างประเทศก็มีนะเออ คุณภาพดีด้วย ผมเคยเห็น ของใช้ในบ้าน เครื่องไม้เครื่องมือ เป็นสินค้ามือสอง จากประเทศ อีหยิบ ครับ มันขายราคาถูกๆ เพราะมัน ไปหยิบมาจากบ้านใครก็ไม่รู้ เอามาวางขายกันเกลื่อนตลาดไปหมด

แม้แต่โทรศัพท์ ไอโพน ไอแพด สินค้าเทคโนโลยีชั้นสูง แม้แต่ samsung galaxy ที่มียอดขาย ก็มีขาย มันขายกันถูกๆด้วย สินค้าทุกชิ้นมีรับประกันตลอดอายุการใช้งาน (ไม่เกิน 3 เดือน) โทรศัพท์ยี่ห้อดัง ก็เป็นของแท้ จากประเทศจีนอีกเชียวล่ะครับ

มีเรื่องเล่าที่ไปอ่านเจอมา ครับ ขอขยายความต่อละกัน อาจจะเป็นการจุดประกายให้ใครหลายคนอยากมาค้าขายตามตลาดนัดดูบ้าง
พ่อค้าหน้าใหม่ คนหนึ่ง ตั้งใจจะไปขายของที่ตลาดนัด ก็เริ่มไปจับจองที่ ตั้งแผงขายของ ระหว่างรอคิวจอง ก็คุยกับ พ่อค้าแม่ค้าที่เขาขายมาก่อน
 

พ่อค้าหน้าใหม่ :พี่ครับ ที่ตลาดนี้ คนเดินเยอะมั้ยครับ วันนึงอ่ะครับ
พ่อค้าหน้าเก่า :ก็เยอะนะ ยิ่งเย็น คนยิ่งออกมาเดินเยอะขึ้นเรื่อยๆน่ะ
พ่อค้าหน้าใหม่ :เหรอครับ ดีจัง ผมกำลังจะมาตั้งแผงขายที่น่ะครับ ฝากตัวด้วยนะครับ
พ่อค้าหน้าเก่า : อืม ดีๆๆ เดี่ยวก็จะรู้จักพวกพ่อค้าแม่ค้าเยอะขึ้นเอง มีไรก็คุยกัน
พ่อค้าหน้าใหม่: เออพี่ แล้ววันนึง ที่ตลาดนี้ขายได้เยอะมั้ยครับ
พ่อค้าหน้าเก่า: วันที่ขายไม่ดี ก็ ตกประมาณ วันละ 1,500 - 2,000 น่ะนะ
พ่อค้าหน้าใหม่ :โห ขนาดวันที่ขายไม่ดีนะครับ ยังได้ขนาดนี้เลยเหรอ แล้ววันที่ขายดีล่ะครับพี่
พ่อค้าหน้าเก่า : วันที่ขายไม่ดีน่ะเหรอ พี่ไม่รู้หรอก เพราะ พี่ขายมาหลายปีละ ยังไม่เคยเจอเลย



เนื้อเรื่องบางส่วนผมอ่านเจอในกระทู้ Thaiseoboard ครับ และเอามาขยายต่อ แต่จำกระทู้ไม่ได้ต้องขออภัยนะครับ

ใคร ........ มาย้ายท้องฟ้าฉันไป

เชื่อว่าหลายคนคงเคยนั่งมองท้องฟ้า และในบรรยกาศที่แตกต่างกันตามแต่ละท้องที่หรือสถานที่เราต่างก็นั่งมองกันนะครับ ผมก็เป็นอีกคนนึง ที่ชอบเหม่อมองท้องฟ้า ในเวลาที่ผมมีเรื่องให้ครุ่นคิดในใจ ไม่ได้คิดถึงสาวๆที่ไหนหรอกนะครับ  ฮ่าๆ แล้วเคยคิดกันบ้างไหมครับ ว่า ท้องฟ้านั่น บางครั้ง ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากชีวิตคนเราเท่าไหร่ ผมคิดอย่างนั้นนะ คิดแบบนั้นจริงๆ

ในช่วงเวลาที่จิตใจเราหม่นหมอง ทุกข์ใจ มีมีเศร้าใจ หรืออะไรก็ตามแต่ ตามความคิดของผม มันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากท้องฟ้าที่มีกลุ่มเมฆดำทะมึน ฝนตั้งเค้าจะตก ท้องฟ้าที่ว่า สดใส ก็หาความสดใส ไม่เจอ แต่เมฆ ครึ้มฟ้าครึ้มฝนเต็มไปหมด ดูแล้ว มันก็น่ากลัวนะครับ ว่ามั้ย 

พอเมฆฝนดำทะมึนผ่านพ้นไปฝนก็หยุดตก ท้องฟ้าก็กลับมามีชีวิตชีวาสดใส สวยงามเหมือนเดิม แล้วมันต่างจากชีวิตคนเรามั้ยครับ สิ่งร้ายๆผ่านพ้นไป ชีวิตเราก็มีความสุขเหมือนท้องฟ้านั่นไงครับ ปัญหาในชีวิต ก็เหมือนเมฆดำเหล่านั้น มันผ่านมา ถึงเวลา มันผ่านไป ขอเพียงใจเราสงบ ตั้งสติค่อยๆคิดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและหาทางแก้ไข มีคำกล่าวไว้ ผมไม่รู้หรอกว่า คนแรกที่กล่าวคำนี้ เป็นใคร ชื่ออะไร และยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว ก็อาจจะรู้ได้ ทุกปัญหามีทางออกเสมอ วลีอมตะคำนี้แหละครับ ก็เหมือนเมฆดำเหล่านั้น ไม่นานมันก็ผ่านพ้นไป

ในตอนกลางคืน ท้องฟ้ามันมึดมิดมีแต่ดาว หรืออาจจะไม่มีเป็นบางวัน เคยคิดมั้ยครับ ว่า ท้องฟ้าที่สดใสนั้น มันหายไปไหนแล้ว ความจริง ท้องฟ้าไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ ไม่ใครสามาถย้ายท้องฟ้าหนีไปไหนได้หรอกครับ เราต่างหากที่มองไม่เห็นท้องฟ้าเอง หรือว่าใครนอนหลับแล้วยังสามารถมองเห็นท้องฟ้าได้ ผมขอนับถือนะครับ

ท้องฟ้ายังไงก็ยังเป็นท้องฟ้า มีสิ่งที่มาบดบังบ้าง มืดมิดบ้าง พอเวลาผ่านพ้นไป ท้องฟ้าก็ยังเป็นท้องที่สดใสอยู่เหมือนเดิม ใจคนก็เหมือนกัน มีทุกข์ มีสุข มีเศร้า ไม่นาน มันก็แค่ลมพัดผ่านมากระทบใจเท่านั้น ปล่อยให้ผ่านพ้น ไม่นานจิตใจเราก็เป็นปกติเองครับ 

ขอจบบทความนี้ไว้เท่านี้นะครับ ผมก็เพ้อเจ้อไปเรื่อยเปื่อยน่ะครับ


ภาพประกอบ จาก  http://writer.dek-d.com/seeks/story/view.php?id=671069

พระอรหันต์ ในบ้านเรา

ในภาพที่นำมาใส่ไว้ในบล็อกแห่งนี้ เป็นรูปถ่ายของผู้หญิงที่สวยที่สุด...... ในบ้านของผมครับ ในบรรดาลูกๆ ของผู้หญิงในรูปภาพนั้น ไม่มีใครจะสวยเท่าเขาได้เลย เพราะบรรดาลูกๆ ทั้งสามคน นั้น เป็นผู้ชายทั้งหมด รวมทั้งผมด้วย ครับ แม่ผมจึงเป็นผู้หญิงที่สวยและประเสริฐที่สุดของพวกเรา สามพี่น้อง ผมเป็นลูกคนที่สองของแม่

พ่อแม่ คือผู้ประเสริฐสำหรับลูกๆทุกคน บทความนี้ผมจึงเขียนเพราะว่า วันแม่ที่ผ่าน ผมทำงานเพลินจนลืมพระอรหันต์ องค์นี้ไป องค์ที่ประเสริฐ ที่สุด ผู้ให้ชีวิตผม อบรม ให้ความรู้ ส่งผมเรียน และเลี้ยงดูผมจนเติบใหญ่ขึ้นมา สรุปว่า ปีนี้ (2555) ผมเป็นลูกที่ไม่ได้ความเลยจริงๆ ทำงานเพลิน จนลืมท่านไป จนท่านต้องโทรมาด้วยตัวเอง แต่แม่ผมไม่เครียดนะ ท่านหัวเราะชอบใจ ที่ได้ยินเสียงลูกชายคนนี้ 

ในรูปถ่าย แม่ กำลังตีฆ้อง แต่ไม่ร้องป่าว นะครับ ทุกครั้งที่ผมกลับไปบ้าน ผมมักจะชวนแม่ไปกราบ พระธาตุ นาดูน แห่งนี้ พระธาตุนาดูน ตั้งอยู่ที่ อำเภอ นาดูน จังหวัดมหาสารคาม ขับรถไป 26 กิโลเมตร ก็ถึง เคยชวนเพื่อนๆ และ น้องๆ ในที่ทำงานไปเที่ยวด้วย ต่างก็ชอบอกชอบใจกันใหญ่ เพราะ ได้วัตถุมงคลกลับ   พระธาตุนาดูนแห่งนี้ เริ่มก่อสร้างเพื่อบรรจุ พระบรมธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนใหนนั้นผมจำไม่ได้ เริ่มก่อสร้างตั้งสมัยที่ผมยังเป็นเด็กประถมอยู่เลย เคยไปดูตอนที่เขากำลังก่อสร้าง สมัยนั้น มันใหญ่โตมาก และที่อำเภอนาดูน แห่งนี้ ยังมี หลายพื้นที่รอบๆ บริเวณพระธาตุ ได้ค้นพบ วัตถุโบราณ อายุ กว่า 2,000 ปี สองพันปี เชียวนะครับ

จำได้ว่า สมัยที่ผมยังเป็นเด็ก มีรถบรรทุกดินที่ขนมาจาก บริเวณพระธาตุ มาเทไว้ที่ ใกล้ๆบ้าน ผมกับพี่ชาย ออกไป เกลี่ยๆ ขุดๆๆ ได้พระเนื้อดิน มา ก็หลายองค์ เป็นพระเก่าๆทั้งนั้น สภาพพระก็ไม่ได้สวยหรอกครับ แต่คุณค่าทางใจมากล้นจริงๆ ทุกวันนี้ ไม่มีใครไปขุดแล้วครับ เพระเจอดีกันถ้วนหน้า

ว่าจะเขียนเรื่องพระอรหันต์ในบ้าน ร่ายเรื่องพระธาตุซะยาวเลย
พ่อแม่ทุกคน เป็นพระอรหันต์ที่อยู่ในบ้านของทุกคน ท่านมีน้ำใจบริสุทธิ์ต่อลูกๆ ทุกคน ไม่ลูกๆของท่านจะดีจะชั่ว เชื่อเถอะ ยังไงพ่อแม่ท่านก็รักลูกๆ ทุกคน เท่ากันหมด ไม่มีลำเอียง แต่ลูกๆ พอเติบใหญ่ ได้ดิบได้ดี หรือไม่ได้อะไรเลย ก็ช่าง มักจะลืมพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพ่อกับแม่ ไม่งั้น กระทิงแดง คงไม่ทำโฆษณา ออกมาหรอกครับ

ผมเชื่อว่า ในวัยเด็ก เราทุกคน ต่างก็ ไร้เดียงสา ซุกซน รู้เท่าไม่ถึงการณ์  เคยหยิก ข่วน เตะ ด่าทอ พ่อแม่ ด้วยควาไม่พอใจ ที่ท่านห้ามโน่นห้ามนี่ไปหมด แต่เราทุกคนกับไม่รู้ว่า สิ่งที่ทำลงไปนั้น พ่อแม่ ไม่ได้ถือโทษหรือโกรธเคืองพวกเราเลย ตรงกันข้าม ท่านยิ่งรักพวกเรามากขึ้น ผมเชื่ออย่างนั้นนะ

ทำบุญใส่บาตร สร้างพระประทาน หรืออะไรก็ตามแต่ ผลบุญเหล่านั้น ยังไม่เทียบเท่ากับที่เราทำบุญกับพ่อแม่ ผมจำได้ วันที่ผมบวชให้แม่ น้ำตาแม่ใหลออกมาเป็นทางเลยแหละ เพราะ ท่านปลาบปลื้ม ยินดี  ตั้งแต่เกิดมา พวกเราทุก ก้มกราบเท้าพ่อแม่ กัน อยู่บ่อยๆ แต่วันที่ผมบวชเป็นพระ ทันทีก้าวเท้าออกมาจากโบสถ์ที่ทำพิธีบวชเสร็จ คนแรกที่ก้มกราบเท้าพระใหม่อย่างผม คือแม่ของผมเอง

ท้ายบทความ ขอให้พวกเราทุกคน รักและเคารพพ่อแม่ให้มาก เพราะชั่วชีวิตนี้ พวกเราทุกคน มีพ่อแม่ แค่คนเดียวเท่านั้น  พ่อแม่ผู้ทำให้เกิดมา และดูแลเราจนเติบใหญ่เป็นคนอยู่ทุกวัน ล้วนเป็นน้ำใจอันบริสุทธิ์ของท่านทั้งสอง อย่าได้ทำร้ายพ่อแม่ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมกันอีกเลยนะครับ

ฉันกำลังคิดอะไรอยู่???????

วันนี้ ( 9 สิงหาคม 2555) ก่อนจะลงมือทำงาน ผมได้เข้าไปนั่งอ่านกระทู้ ได้เห็นแนวความคิดที่ คิดว่าบรรเจิด (สำหรับผมนะ)  กับคำพูดที่ว่า "ลงมือให้น้อย คิดให้มาก" ทำให้ผมได้คิด อะไรบางอย่าง ผมกำลังทำอะไรอยู่?  และ ผมกำลังคิดอะไรอยู่? เป็นคำถามที่ผมเอง ก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่เจอ ผมใช้คำว่าไม่เจอนะคับ ไม่ใช่ตอบไม่ได้ ในแต่ละวัน ผมคิดหลายเรื่อง ทำหลายอย่าง และสิ่งที่คิด และ ลงมือทำ ก็ยังไม่สัมฤทธิ์ผลอย่างที่ตั้งเป้าไว้ ผมอาจจะคิดผิด ก็ได้ ทั้งหมดนั้น ผมคิดของผมคนเดียว  คิดเอง และ ลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่ปรึกษา ใคร

หลายวันก่อน ก็ อ่านเจอกระทู้ที่น่าสนใจ(มาก) กระทู้หนึ่ง หัวข้อกระทู้ผมจำไม่ได้แล้ว แต่ ได้รับรู้ว่า คนจีน ที่ว่า มีประชากรมากที่สุดในโลก มีคนระดับเศรษฐี มากมาย แค่ คนยิว มีประชากรน้อยกว่า แต่ มีคนระดับเศรษฐี มากกว่าคนจีน หลายเท่าตัว ด้วยปรัชญาการค้า ของชาวยิว ที่แตกต่างจากชาวจีน อย่างสุดโต่ง ชาวจีน เน้น กำไรน้อย ขายมาก เมื่อขายได้มากๆ กำไร ก็จะมากตามสัดส่วนที่ขายได้ แต่ ชาวยิว เน้น ขายน้อย กำไรมาก  เป็นแนวคิดที่ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิง จริงๆ สำหรับผม 

ถึงตรงนี้ ผมก็ได้คิด ผมมีเป้าหมายชัดเจน แต่การปฏิบัติและลงมือทำ ผมสรุปด้วยมาตรฐานของตัวเองได้แล้วว่า ผมให้เวลากับความคิดของตัวเองน้อยเกินไป ทั้งที่ความคิดนั้น มันยังไม่ลงตัว เรียกว่า ฝืนทำทั้งที่ยังไม่พร้อมนั่นเอง

การเดินทางยังไม่สิ้นสุด เหนื่อยก็หยุดพัก รวบรวมพลังลุกขึ้นมา แล้วเดินต่อไป
ใจสู้ซะอย่าง จริงมั้ยครับ

ไม่มีเงิน ก็เหมือนหมา



จะเริ่มบทความ เรื่อง ไม่มีเงิน ก็เหมือนหมา ยังไงดีหว่า  อืม นึกถึงตัวเองสมัยที่มาทำงานในเมืองกรุงใหม่ๆ ตอนนั้น มีเงินเดือน แต่ ไม่รู้จักคุณค่าของเงินที่หามาได้

ใช่ ตอนนั้นผมไม่รู้จักคุณค่าความเหนื่อยยากของ ตัวเองเลยซักนิด หาความสุขใส่ตัว ซื้อของฟุ่มเฟือย เบื่อก็เปลี่ยนใหม่ ไปเรื่อย ทั้งที่ก่อนที่จะเข้ามาทำงานในเมืองหลวง ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้อง ทำงานหาเงิน ส่งเงินให้แม่ ตอบแทนพระคุณแม่ ที่พูดถึงแต่แม่คนเดียวเพราะว่า พ่อเสียไปแล้ว ไม่รู้จะตอบแทนพระคุณพ่อยังไงดี ได้แต่ทำบุญอุทิศให้ท่านได้เท่านั้น กลับมาเข้าเรื่องเงินไม่มี ต่อดีกว่า

ไม่มีเงิน ก็เหมือนหมา คำนี้ พี่หัวหน้างานที่ ก็สอนผมและด่าผมได้อยู่ทุกวัน (ปัจจุบันยังสอนและด่าผมอยู่เลย ฮ่าๆๆๆ)  ชีวิตจริง ของคน เป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่มีเงิน คนก็ไม่นับหน้าถือตา ไม่ให้ความสำคัญ เพื่อนฝูง ก็ไม่มี แต่พอมีเงินหน่อย ไม่รู้เพื่อนฝูง มาจากไหน มาที มากกว่าฝูงหมาซะอีก แต่พอไม่มีเงิน แม้แต่ หมา ยังไม่มองเลย และโลกมนุษย์ ก็เป็นเช่นนี้แล

ก่อนที่จะถึงวันที่ไม่มีเงิน เชื่อว่า ทุกคนพอมีเงินอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย พอเลี้ยงตัวเองและคนในครอบครัวได้ ก่อนจะถึงวันนั้น วันที่ไม่มีเงิน เรารู้จักคุณค่าของเงินกันหรือเปล่า เรามีการเก็บส่วนที่เราต้องเก็บไว้บ้างหรือเปล่า เราคิดไว้บ้างหรือเปล่า ถ้าวันหนึ่งข้างหน้า เราไม่มีเงิน จะทำอย่างไร เชื่อว่าหลายคนไม่คิดหรอก พอมีเงินหน่อย มันจะหลงลืมตัวเองไปชั่วขณะ

มีเพื่อนคนนึง แวะเวียนมาหาผมอยู่บ่อยๆ เขาแนะนำผมว่า มีครอบครัว มีรายได้จากการทำงาน ควรจะแบ่งเงินเป็นใส่กระเป๋า 3 ใบ กระเป๋า 2 ใบ ให้คนในครอบครัว รู้ได้ แต่อีก 1 กระเป๋า ไม่ควรให้ใครรู้ นั่นเป็นเพราะเพื่อนรุ่นพี่คนนี้ มีประสบการณ์ที่เลวร้ายในครอบครัว สิ้นเนื้อประดาตัว เพราะมีกระเป๋าใส่เงินแค่ 2 ใบ  ก็น่าสงสารและเห็นใจเพื่อนรุ่นพี่คนนี้อยู่ แต่ผมไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้มากกนัก

พึงระวังไว้ให้ดี มีเงิน ต้องรู้จักเก็บบางส่วนไว้ เพราะว่า วันพรุ่งนี้ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตที่ไม่แน่นอน

ภาพประกอบ จาก อินเตอร์เน็ต

ทำร้าย ตัวเอง เพื่ออะไร



นั่นซินะ ผมทำร้ายตัวเองเพื่ออะไร แล้วผมได้อะไร แค่ผิดหวัง เล็กๆ น้อยๆ เอง คนเราเป็นทุกข์ ก็เพราะตัวเอง ไม่มีคนอื่นมาทำร้ายเราได้ ทำร้ายตัวเอง แล้วเป็นทุกข์ แล้ว จะทำร้ายไปเพื่ออะไรกัน ล่ะ

คนเราเมื่อใจเป็นทุกข์ ก็หาทางดับทุกข์ โทษโน่นโทษนี่ แท้จริงแ้ล้ว ใครกันที่ทำให้เราเป็นทุกข์ ก็ตัวเราเองนั่นแหละ ที่ทำร้ายตัวเอง ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ คำพระท่านว่า สุข ทุกข์ อยู่ที่ใจ แต่คนส่วนใหญ่ มักทำให้ตัวเองเป็นทุกข์มากกว่า

หัวใจหลักของพุทธธรรมคืออะไร ผมเชื่อว่า ชาวพุทธ ส่วนใหญ่ รู้จักกันทั้งนั้น คือ ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำใจให้บริสุทธิ์ สามสิ่งนี้เป็นเรื่องง่ายๆ แต่ใครกันล่ะ ที่สามารถนำไปปฏิบัติกันได้ครบ  ทำความดี ละเว้นความชั่ว ผมเชื่อว่า หลายคนทำได้ และทำอยู่ทุกๆวัน แต่ทำใจให้บริสุทธิ์ นี่สิ จะำทำยังไง ในเมื่อ มักจะทำร้ายตัวเองอยู่เสมอ

ขอจบบทความไว้เท่านี้นะครับ เพราะผมก็ ไม่รู้ว่า เหตุ มนุษย์เรา เมื่อผิดหวัง ถึงได้ ค้นหาวิธีการทำร้ายตัวเองได้อยู่ทุกวัน ผมเป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน

 ขอขอบคุณทุกท่านที่ แวะมาอ่านบทความ นี้นะครับ ผมก็โม้ เพ้อเจ้อไปเรื่อยเปื่อย ตามประสา

 ภาพประกอบจาก Internet

ปล่อยวาง เรื่องง่ายๆ แต่ทำยาก


หลายคนมีเรื่องทุกข์ใจตามแต่ละคนจะประสบพบเจอ บางคนปลงได้ วางได้ ใจก็เป็นสุข แต่บางคนปลงไม่ตก วางไม่เป็น ใจก็เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป พระพุทธศาสนา ก็ มีคำสอน มากมายก่ายกองให้เราได้อ่านได้ศึกษาและปลงให้ได้ วางให้เป็น บางคนทำได้ง่ายๆ แต่งบางคนแค่คิดก็ยากแล้ว

ผมเคยอ่านเจอ นิทานเกี่ยวกับเรื่อง "การปล่อยวาง" แต่จำไม่ได้ว่าอ่านจากหนังสือเล่มไหน ขอนำมาเล่าสู่กันอ่าน เป็นนิทานเซน เกี่ยวกับพระญี่ปุ่น แต่ผมขอดัดแปลงนิดหน่อยเพื่อให้เป็นแบบไทย แต่เนื้อเรื่องไม่ต่างกันมากนัก

มีพระธุดงค์สองรูป ออกเดินบิณฑบาตร (ถ้าเขียนผิดขออภัย) ผ่านหมู่บ้าน และ กำลังจะเดินข้ามลำธารเล็กๆแห่งหนึ่ง

ที่ริมลำธารสายนั้น มีหญิงสาวใส่เสื้อผ้างดงามดูดีมีชาติตระกูลนางหนึ่ง กำลังจะ ข้ามลำธารอยู่ก่อนแล้ว แต่ เก้  ๆ กัง ๆ ไม่กล้าที่จะเดินข้ามลำธาร เพราะ เธอ กลัวว่า เสื้อผ้าชุดสวยของเธอจะเปรอะเปื้อนโคลนตม

พระธุดงค์ทั้งสองรูปก็หยุดรอหญิงสาวให้ข้ามไปก่อน เพื่อพระธุดงค์ทั้งสองจะได้ข้ามลำธารตามไป เวลาผ่านไปนานพอสมควร หญิงสาวก็ไม่อาจข้ามได้ ซักที

ทันใดนั้น พระธุดงค์รูปหนึ่ง ก็เข้าไปบอกหญิงสาวว่า "โยม เดี่ยวอาตมาจะ อุ้มโยมข้ามไปอีกฝั่งเองนะ" แล้ว พระธุดงค์ูรูปนั้นก็ อุ้มร่างหญิงสาว เดินข้ามลำธารสายนั้นไป พอถึงฝั่งก็วางหญิงสาวลง ส่วนพระธุดงค์อีกรูปก็เดินข้ามลำธารตามมา สมทบและหญิงสาว ก็ จากไป

พระูธุดงค์ทั้งสองรูป ก็เดินกลับ ระหว่างทาง พระทั้งสอง ไม่มีการพูดคุยอะไรกัน และพระูธุดงค์ที่ไม่ได้ช่วยหญิงสาว กลับมีสีหน้า ฉงน สงสัย ในความประพฤติของพระธุดงค์อีกรูป จนถึงที่พักของพระูธุดงค์ทั้งสอง

ด้วยความอัดอั้นของพระธุดงค์อีกรูป อดรนทนไม่ไหว จึงเอ่ยถามพระที่อุ้มหญิงสาวข้ามลำธาร "ท่าน การที่เราทั้งสองเป็นบรรพชิต รักษาศิลอันบริสุทธิ์ ไม่อาจถูกเนื้อต้องตัวสีกาได้ เหตุใด ท่านจึงผิดศิล ไปแตะต้องหญิงสาวนางนั้นเล่า" พระธุดงค์ที่อุ้มหญิงสาว หันมายิ้มให้ แล้ว กล่าวว่า " ท่าน ผมวาง หญิงสาว นางนั้นตั้งแต่ ถึงฝั่งลำธารแล้ว เหตุใด ท่าน ยังไม่วางหญิงสาวนางนั้นจนถึงตอนนี้เล่าเท่าน"

นิทานของผมก็ จบลง เพียงเท่านี้ แหละครับ

คำเตือน : โปรดใช้ิวิจารณญานในการอ่าน

ภาพประกอบจาก http://superrookiedome.com

ความพยายามอยู่ที่ไหน.. ความลำบากอยู่ที่นั่น


ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น เป็นคำสอนที่เราทุกคนจดจำได้ักันตั้งแต่เด็ก คำสอนของผู้ใหญ่รุ่นก่อนๆ สอนเรามา ให้เรา ทำอะไรก็ ทำอย่างจริงจัง อุปสรรค มันมากมายก่ายกอง ที่เราทุกคนจำต้องผ่านให้ได้ มีคำกล่าวจาก ซีรี่ย์ เรื่องนึง กล่าวว่า "พระเจ้า ประทานอุปสรรคมา เพื่อให้เราก้าวผ่าน"  เป็นคำคม ที่สะท้อนความหมายของ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

แต่ความสำเร็จนั้น กว่าจะได้มา เลือดตาแทบกระเด็น กันทั้งนั้น ดังนั้น ความพยายามอยู่ที่ไหน ความลำบากอยู่ที่นั่น ก็เป็นเรื่องจริง ที่ทุกๆ คนจะต้องพบเจอ ก่อนจะประสบความสำเร็จ ทั้งล้ม ทั้งลุก ทั้งคลุก ทั้งคลาน บางคน ปากกัดตีนถีบ เพื่อความสำเร็จ เพื่อเป้าหมายเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ ของตัวเอง

ความพยายามอยู่ที่ไหน ความลำบากอยู่ที่นั่น และ ความสำเร็จ จึงตามมา

เพราะชีวิตคนเรามีแค่ 21,900 วันเท่านั้น


คน เราอายุเฉลี่ย 60 ปี

1 ปี เท่ากับ 365 วัน
แสดงว่าแต่ละคนมี เวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน
คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที
ลอง นับเป็นสัปดาห์ อืม...ไม่เลว 3,120 สัปดาห์

แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา
แทบเบือนหน้าจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับแถวหลังเพื่อรอวันลาโลก

เปล่าเลย ผมไม่ได้กลัวตาย ตรงกันข้าม ผมคิดว่าตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้มันน้อยมาก
หากคำนวณในเชิงตัว เลข ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน เพลงอีกหลายเพลงที่ยังไม่ได้ฟัง
หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่เคยดู ความรู้สึกในใจมากมายที่ยังไม่เคยบอก
พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตร ที่ยังไม่เคยไป

โอ๊ย...กลุ้ม สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามันน้อยเกินไปจริงๆ
และที่น่ากลุ้มไปกว่า นั้น คือ ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี

แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน
นั่นแสดงว่า บางคนไม่ได้มีเวลาอยู่บนพื้นโลกถึง 21,900 วันหรอกนะ
อาจ ไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ
อุแม่เจ้า... 2 คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึงสามพันแล้วเหรอเนี่ย

คิดแบบ นี้แล้วต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้างๆ
เพราะนี่คือวัน เสาร์ที่เราเหลือ...บนพื้นโลก


นี่เรากำลังอ่านอะไรบ้าบอ อยู่เนี่ยคิดมากไร้สาระ ฟุ้งซ่าน(รู้นะว่าพวกเธอคิดอยู่) ....
ไม่เลย นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งนั้น หากเป็นความจริงที่เราไม่ค่อยได้มองมัน เอาล่ะ นี่คือ เรื่องจริงเรื่องหนึ่ง
ที่คนส่วนใหญ่มองข้ามมันไป งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 18 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,235 วัน และผ่านคืน
วัน เสาร์มา ร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น...คำนวณเองบ้างซิว้อย!!!

เอา เวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลาที่(คาดว่าน่าจะ)เหลืออยู่ผลลัพธ์ที่ได้ เราจะยังไงกับมันดี


แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อ นั่งเอาหัวตากแอร์ไปวันๆ ยอมให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้
เพื่อ อะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า เงินเดือน

บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้ อยู่ 4 ปี ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ ไม่ก็เห็นเพียงว่า
เพื่อนเรียน เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่าผมจะเป็นอะไรดี

บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น แต่กลับปล่อยให้หัวใจตัวเอง
เหลือแต่ความรู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน

บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวันๆ ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ คุณแน่ ผมแน่ งอนการกุศล
ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ...ไอ้บ้า!!!

และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม 'ฆ่าเวลา' ... ชีวิตมันว่างจัด ขนาดต้องนั่งฆ่าเวลากันเลย
บอกตรงๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี


อีก หน่อยเราก็ตายจากกัน...แล้วนะ


ลองคิดแบบนี้บ้าง...ใช่แล้ว ...เราจะเกิดความเสียดายเพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านอย่างที่เราไม่ได้ทำ


ตาย ได้ยังไงหากฝันไม่สำเร็จ...ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย
แต่ให้รีบ ทำทุกอย่างก่อน ที่จะตาย...ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้


เคยสงสัย มั้ย... ทำไมเราถูกกำหนดไม่ให้รู้วันตายของตัวเองเพราะมันจะทำให้เราไม่แยแสทุกสิ่ง ทุกอย่าง
และตอบสนองความต้องการของตัวเอง ทั้งในทางดีและทางชั่ว

และ ในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า เอาแบบว่าถ้าตาย
วันพรุ่งนี้ก็จะได้นอนตาหลับ เกิดโชคดีไม่ตายขึ้นมาเราก็จะได้กำไรในการอยู่ต่อเพื่อทำสิ่งดีที่ยังค้างคา


ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า...พรุ่งนี้ชั้นจะตายแล้ว
ทำในสิ่งที่ เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก
ตามฝันของเราไปสุดโต่ง...ต้องรีบ แล้ว...เดี๋ยวตายยนะ...เตือนแล้วไง

รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี ส่วนจะรักหรือไม่รักผม ไม่สนว้อย...
เพราะ พรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ)ตายแล้ว

ใช้เวลา(ที่อาจจะ)สุดท้ายที่มีต่อกัน ไว้ กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดสุดท้ายของเรา
นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำ ได้ เพราะอย่างน้อยๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอยให้สัมภาษณ์ยมบาล


คน ข้างบ้านเดินหน้าแป้นแล้นมาบอกกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน ในมือมีซองสีชมพูพร้อม
การ์ด ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง แต่เมื่อกี๊นี้ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทร.มา
ปรึกษา แม่เรื่องชุดแต่งงาน หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย... แต่กว่าที่คนเป็นแม่จะได้รู้ข่าวร้าย ก็
ปาไป 5 วัน ซองในมือผมกลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้กลายเป็นพวงหรีดและทั้งหมดกลายเป็น
แรงบันดาลใจที่อยากจะ บอกว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน...แล้วนะ

อ้าว!!! รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก รีบแยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ


เดี๋ยว ตายซะก่อน...เสียดายแย่!!!

ที่มา : http://www.naitam.com/naitam-life/view.php?id=204&category=1&page=&lite=

ขอบคุณ naitam สำหรับเรื่องราวดีๆ ที่ให้กำลังใจ