ข้อคิดจากนิทานอีสป

สิงโตตัวหนึ่ง นอนป่วยอยู่ในถ้ำ บอกให้หมาจิ้งจอกให้หมาจิ้งจอก ไปหว่านล้อมกวางตัวใหญ่มาให้ข้ากินเครื่องในและหัวใจของมัน

เจ้าหมาจิ้งจอก ก็ไปหากวาง เมื่อพบกวางตัวใหญ่ตัวหนึ่ง บอกกับกวางว่า "ข้าเห็นสิงโตเจ้าแห่งป่า กำลังจะตาย เขากำลังคิดว่า จะให้สัตว์ตัวไหนเป็นเจ้าป่า จะให้หมู หมูก็เป็นสัตว์ฉุนเฉียว จะให้หมี หมีก็เป็นสัตว์เกรียจคร้าน เสือดาวก็โมโหง่าย เสืองเหลืองก็คุยโว

ดูแล้วสิงโตเห็นว่า กวางแบบเจ้ารูปร่างใหญ่ อายุยืน เขาเจ้าก็ทำให้สัตว์ตัวอื่นเกรงกลัว สรุปแล้ว เจ้ามีคุณสมบัติเหมาะที่จะเป็นเจ้าป่ามากกว่าสัตว์อื่น

คำหวานทำเอากลางเคลิบเคลิ้ม  มันเดินตามหมาจิ้งจอกไปในถ้ำสิงโต เจ้าสิงโต หิวจัด กระโดดเข้าตะครุบ ได้ใบหูกวางไปข้างหนึ่ง กวางตกใจกระโดดหนีเข้าป่าไปได้

ต่อมาสิงโต ก็ อ้อนวอนให้ หมาจิ้งจอก ไปชวนกวางมาอีกครั้ง เจ้าหมาจิ้งจอกเสียไม่ได้ จึงออกไปตาม เจอกวางกำลังนอนเลียแผล เจ้ากวางก็ตะโกนด่า ด้วยความโกรธ ไอ้สัตว์ชั่ว เจ้ามาตามข้าทำไม ข้าไม่กลงกลเจ้าอีกหรอก

เจ้าหมาจิ้งจอกก็ใจเย็น ตอบกลับไปว่า เจ้าสัตว์ขี้ขลาดที่น่าสงสาร เจ้าสงสัยข้าทำไม ข้าเป็นเพื่อนเจ้า การที่สิงโตกัดหูเจ้านั้น มันเป็นเครื่องหมายว่า เขาได้ให้คำสั่งสอนสุดท้ายก่อนที่เขาจะตายจากไป

เจ้าทนไม่ได้แม้รอยขีดข่วนเล็กๆจากสิงโต แก่ๆ ที่ใกล้ตายเชียวหรือ

เจ้ากวางก็ใจอ่อน  หมาจิ้งจอกกล่าวต่อ ผ่านการทดสอบครั้งสำคัญ เจ้าจะรับผิดชอบตำแหน่งเจ้าป่า ข้าขอสาบาน เจ้าจะเป็นนายของข้าในป่าแห่งนี้

กวางตายใจ ยอมเดินตามหมาจิ้งจอกไปหาสิงโต กลายเป็นเหยื่อให้สิงโตจับกิน เนื้อหนังกระดูก สิงโตกินไปจดหมด เหลือหัวใจกวางตกลงพื้น

หมาจิ้งจอกรออยู่นาน ก็ได้ทีตะครุบเข้าปาก ไป สิงโตยังไม่อิ่ม มองหาหัวใจกวาง
หมาจิ้งจอกเลยบอกว่า  อย่าไปหาเลย หมาจิ้งจอกยืนอยู่ในจุดที่ปลอดภัย บอกสิงโตว่า กวางมันไม่มีหัวใจ หากมันเป็นสัตว์มีหัวใจ มันคงไม่โง่เง่าให้ข้าหลอกพามาให้เจ้าตะครุบกินได้ถึงสองครั้งดอก

นิทานจบแล้วครับ
ทิ้งท้ายไว้ ซักนิดครับ
ความมักใหญ่ ไฝ่สูง โลภโมโทสัน ถ้าไม่รู้จักยับยั้ง ก็นำพาให้เราไปสู่จุดจบของชีวิตได้ครับ

อุปสรรค.. ในชีวิตเรา เกิดจากอะไร ???

อุปสรรคในชีวิตคนเรา มีมากมาย หลากหลายรูปแบบ แล้วแต่ว่าเราจะพบเจอุปสรรคใดบ้างในแต่ละวัน ช่วงนี้ฟุตบอลโลก กำลังเข้มข้น ทีมที่จะอยากจะเป็นแชมป์ จะต้องฝ่าฟันอุปสรรค ก็คือ คู่แข่งให้ได้ เอาชนะได้ ก็ถึงฝั่ง คนจนชีวิตดิ้นรนต่อสู้หาเช้ากินค่ำ ก็มีอุปสรรคมากมาย คนทำงานออฟฟิศ ก็ใช่ว่าจะไม่เจออุปสรรค หรือแม้แต่คนรวยล้นฟ้า ก็ตาม ก็ล้วนต้องเจอกับอุปสรรคทั้งนั้น

ผมเขียนบล็อก วันนี้ (1 ก.ค. 2553) เป็นเพราะ ผมกำลังนึกขึ้นได้ว่า ที่ผ่าน ผมเจออุปสรรคอะไรบ้าง ผ่านได้บ้างไม่ได้บ้าง แล้วก็เกิดคำถามขึ้นในใจตัวเอง "อุปสรรคสำหรับผมเกิดขึ้นเพราอะไร"

ผมทบทวนแล้วทบทวนอีก อุปสรรคในชีวิตผมไม่ได้จาก โชคชะตา หรือ ฟ้าลิขิตอะไรเลย แต่มันเกิดจากตัวผมเองทั้งนั้น เกิดจากใจผมเอง เกิดจากจิตใต้สำนึกของตัวผมเองต่างหาก 

เรียนจบใหม่ๆ ไปสอบแข่งขัน ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง สู้เข้าไม่ได้ ผมก็โทษโน่นโทษนี่ ไปเรื่อย ไม่มีวาสนา บ้าง ไม่มีบุญบ้าง แท้จริงแล้ว เกิดจากตัวผมเองต่างหาก เพราะคิดว่า ตัวเองเก่ง (ผมเป็นเด็กเรียนเก่งคนหนึ่ง) พอไปสอบแข่งขัน หนังสือ อ่านบ้างไม่อ่านบ้าง สุดท้ายก็ล้มเหลว แล้วผมก็โทษโชคชะตา โทษดวงไปหมด 

หลายคนเจออุปสรรคร้ายๆ ก็โทษโชคชะตา โทษดวง หาว่าตัวเองไม่มีโชค ไม่มีดวง ผมว่าไม่น่าจะใช่นะ  ลองทบทวนให้ดี อาจจะคิดเหมือนผมก็ได้ ไม่ใช่เพราะโชคชะตา หรือว่า ดวงไม่ดี แต่เกิดจาก การกระทำของตัวเราเองต่างหาก เช่น ขับรถไปเฉี่ยว ไปชน ก็บอกว่า โชคไม่ดี ดวงซวย ลองทบทวนดูให้ดี เป็นเพราะ ตนเฉี่ยวชน ไม่มีสติ ไม่ทันระวังต่างหาก ไม่ใช่ดวงซวยเลยซักนิด 

อุปสรรค หลากหลาย ที่เรามองเห็นอยู่ตรงหน้า เกิดจาก นโนภาพในจิตใต้สำนึกของตัวเอง ทั้งนั้น เราหวาดกลัว สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา เราหวาดกลัวของคิดของเราเอง เราคิดไปเอง เราก็เลยเกิดความกลัว ปัญหาและอุปสรรคที่อยู่หน้า พิจารณาให้ดี ตั้งสติให้มั่น เดินผ่านมันไป แล้วมองกลับมา จะรู้สึกว่า เป็นแค่ลมพัดผ่านตัวเราเท่านั้น

ทุกปัญหา มีทางในตัวเองเสมอ แล้วแต่ว่าจะหาเจอหรือไม่เท่านั้น

จบแล้วครับ 
ดีหรือไม่ดี อย่างไร ติชมให้คำแนะนำได้ครับ
ผมจะนำไปปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ

หมั่นสร้างบารมีไว้ แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง

ผมไปเจอหนังสือเล่มหนึ่ง เก็บไว้นานเหมือนกัน จำได้ว่า ลูกพี่ผม (ผู้จัดการฝ่ายที่ผมทำงานด้วยก่อนที่เขาจะลาออก และผมทำหน้าที่แทน) ให้ไว้ ก่อนที่จะลาออกไปทำธุรกิจส่วนตัว ไม่มีขาย เป็นหนังสือทำถวายวัด เป็นทานบารมี  เปิดหนังสือมาหน้าแรก ผมเห็นว่า ดี เลย เอามาเขียนบล็อก ครับ ขอ คัดลอก หน้านั้นมาทั้งหมดเลย เพราะ ดีจริงๆ

"ลูกเอ๋ย ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอ จึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมมาจนล้นตัว เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรติดตัว แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้ แล้วฟ้าดินจะช่วยเจ้าเอง 


จงจำไว้นะ เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเ้จ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้ ครั้นถึงเวลา ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอยู่ไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย จะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า"


นี่คือคำเทศนา ของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่ได้โปรดชี้ธรรมไว้ในนิิมิต หลังจากที่ล่วงลับไปล้วเมื่อ 100 กว่าปี อันเป็นปฐมเหตุที่ต้องสร้างความดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ผมคัดลองมาทั้งหน้าเลยครับ อ่านแล้ว เข้าใจง่าย 
จบแล้วครับ 
หมั่นสร้างบารมี ทำบุญ ให้ทาน สร้างกุศลไปเรื่อยๆ นะครับ สะสมบารมีไว้ แล้วฟ้าดินจะ่ช่วยเองครับ
สวัสดีครับ

สุข... ทุกข์ อยู่ที่ใจ

ผมจำได้ว่า เคยดู หนังเรื่อง อภินิหารปรมาจารย์ ตั๊กม้อ เป็นหนัง ฮ่องกง น่าจะเมื่อสัก สิบกว่าปี ที่แล้ว ดูครั้งแรก เพื่อความบันเทิง ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแต่เพียงว่า ก็แค่หนังเรื่องนึงเท่านั้น พอเริ่มเติบโตขึ้น นึกอยากจะดูหนังเรื่องนี้อีก เลยไปหาซื้อมาดู แต่ดูเที่ยวที่สองนี้ ผมได้อะไร จากหนังเรื่องนี้ หลายอย่าง

ท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ เป็นผู้สร้าง วัดเส้าหลิน และ กังฟู จีน ที่โ่ด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้ มีคำสอนของท่านมากมาย ที่เราสามารถปรับใช้ในชีวิตประจำของเราได้เป็นอย่างดี หนึ่งในนั้นคือ คำสอน ที่ท่านพูดว่า
สุข หรือทุกข์ อยู่ที่ใจเรากำหนด ทุกอย่าง ล้วนเกิดจากใจเรา ผมว่า ใช่นะครับ เวลาที่เราเป็นสุข ก็เกิดจากใจเรา เอง เวลาเราเป็นทุกข์ ก็เกิดจากใจเราเอง แต่ธรรมชาติของมนุษย์ ไม่เคยโทษตัวเองซักครั้ง

ผมลองคิดง่ายๆ เวลาที่ผมไปใส่บาตรทำบุญทุกวันพระ ใจผมเป็นสุข ที่ไ้ด้ทำบุญสร้างกุศล ไม่ใช่เกิดจาก พระท่านให้ศิลให้พร มันเกิดจาก ใจที่ผมอยากทำบุญต่างหาก  เวลาที่ผมเครียดคิดอะไรไม่ออก ก็ไม่มีใครมาทำให้ผมเครียดหรอก เกิดจากตัวผมเองต่างหาก ที่ทำให้ยุ่งยาก วุ่นวายไปเอง แล้วก็ขาดสติ โทษโน่นโทษนี่ไปเรื่อย เวลาโดนเจ้านายที่บริษัทด่า ก็เกิดจากตัวผมเอง ที่ทำผิดพลาด ไม่ใช่เพราะเจ้านาย นึกอยากจะด่า ก็ด่า

คนเราถ้ารู้จักปล่อยวาง คงดี ถือไว้ก็หนักเปล่าๆ วางลง ทำใจให้สงบ มีสติ ความคิดดีๆ ก็เกิด ท่านพุทธทาส ก็ยังสอนให้เรา อย่าไปยึดมั่น ถือมั่น

คงจบบทความไว้เท่านี้ครับ ต้อง ทำมาหากินอย่างอื่นอีก
สวัสดีครับ

ทำใจ..อย่างมีสติ

ผมอ่านหนังสือ ปัญญาไทย เขียนโดย คุณ พิมพร ชูรอด เนื้อเรื่องในหนังสือ เป็นการเล่าเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวหนึ่ง มีลูกสาว เข้าประกวดนางงาม แต่ ผิดกฎ เพราะผู้เข้าประกวด ต้องเป็นนางสาว (ต้องบริสุทธิ์) ไม่มีครอบครัว (จะแอบมี หรือ ไม่ก็อยู่ในข่ายนี้ทั้งหมด) ตามความเข้าใจของผม กองประกวดตัดสิทธิ์ ทันที ทำให้เสียใจ ร้องไห้ ฟูมฟายกับแม่ แล้วพ่อก็เข้ามาปลอบประโลม อีกคน

สิ่งที่เราเสียไป หรือทำิผิดพลาดไปแล้ว ก็เหมือนสายน้ำ ไม่มีทางไหลย้อนกลับ หรือเราไม่สามารถ นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปอดีตได้ เหมือนโดเรม่อน หรือในหนังเรื่อง Back to the Future (ไม่รู้เขียนภาษาอังกฤษถูกหรือเปล่า สมมติว่าถูกละกัน อิอิ)

มีคำกล่าว " อดีต เป็นตัวกำหนด ปัจจุบัน และ อนาคต"  คิดว่าน่าจะเป็นจริงนะครับ ตามความคิดของผมเอง อดีต เราแก้ไขไม่ได้ ปัจจุบัน ต่างหาก  ที่เราำทำปัจจุบันได้ดีแค่ไหน ปัจจุบันเราเป็นอย่างไร อนาคต เรากำหนดได้ เราเลือกที่จะเป็นได้ ไม่ใช่ ฝากอนาคตไว้กับ โชคชะตา ขงเบ้ง กล่าวไว้ใน สามก๊ก ตอนหนึ่งว่า "เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน" 


หลายปีที่ผ่านมา มีเรื่องราว เกิดขึ้น มากมาย ในชีวิตคนเรา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตุเห็น เป็นประจำืคือ คนเรา เมื่อผิดหวัง หรือ เมื่อทำอะไรผิดซักอย่าง มักจะฟูมฟาย โทษโน่นโทษนี่ สารพัด  ผมก็สงสัย ฟูมฟาย แล้วได้อะไร ทำไม ไม่หาทางแก้ไข หรือป้องกัน ความผิดพลาด ในครั้งต่อไป

คงเขียนไว้ เท่านี้ครับ สำหรับ บทความนี้
เวลา ว่าง หมด แล้ว สำหรับ วันนี้

สำหรับ ท่านที่เข้ามาอ่าน Blog ของผม
ขอขอบคุณ ที่เข้ามาอ่าน ผมอาจจะเขียนได้ไม่ดีเท่ามืออาชีิพ
จะ Comment อะไร ก็ ขอเชิญได้เลยนะครับ ผมจะได้นำไปปรับปรุง

Blog ผมยังใหม่ อยู่ ผมเอง ยังไม่รู้ว่า Blog จะไปหลบ อยู่ซอกหลืบไป ของ Google
ถ้ามีคน หาเจอ ก็เป็นโชคดีของผม (ที่ยังมีคนอุตส่าห์หา Blog เล็ก ๆ ของผมเจอ)
ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ

ขายวัว ส่งควายเรียน

สมัยที่ผมยังเรียนหนังสืออยู่ ในกลุ่มเพื่อนๆ เวลาสอบเสร็จ พวกเราก็จะมักออกมา จับกลุ่มพูดคุยกันเรื่องข้อสอบ ว่า ทำกันได้บ้างหรือไม่ได้บ้าง มีเพื่อนคนนึง ทำข้อสอบแทบจะไม่ได้เลย ก็เลยพูดออกมาเล่นๆ ว่า  "สงสารพ่อแม่ จัง ต้อง ขายวัว ส่งควายเรียน" ผมนึกถึงคำพูดของเพื่อนได้ ก็เลย เอามาเขียน

เพื่อนผม เปรียบตัวเอง ว่า โง่ เหมือนควาย ทั้งที่จริงแล้ว เพื่อนไม่ได้โง่ เลยซักนิด แค่ทำข้อสอบไม่ได้เท่านั้น ปัจจุบัน ตำแหน่งหน้าที่การงาน ดูเหมือนจะ สูงกว่าผมด้วยซ้ำ ผมก็แค่ผู้จัดการฝ่ายในโรงงานเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้นเอง  สิ่งที่ผมแปลกใจ ก็คือ ทำใมคนเรา มักจะเปรียบเทียบตัวเอง เวลาทำอะไรแล้วไม่ได้ มักจะบอกว่า ตัวเอง โง่เหมือนควาย จริงแล้ว ควาย ไม่ได้โง่ เลยซักนิด ที่สุพรรณ มีหมู่บ้านควาย เขาฝึกควายให้เป็น ควายฉลาดได้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ คนไทย สามารถฝึกควายที่หลายคนบอกว่า ควายโง่ ให้เป็นควายฉลาดได้ เห็นแล้วทึ่งครับ

คราวหน้า เวลาที่เราทำอะไรไม่ได้ หรือคิดอะไรไม่ออก ก็อย่าเปรียบเทียบตัวเองว่า โง่เหมือนควายนะครับ เพราะถ้าคิดแบบนี้ ก็อายควายครับ เพราะปัจจุบัน ควายไม่โง่แล้วครับ ขยันขันแข็งอีกต่างหาก เวลาที่คิดอะไรไม่ออก เป็นเพราะสมองเราเหนื่อยล้า มากกว่า ลองทำใจให้สงบ นั่งสมาธิซักครู่ หรืออยู่ในที่ที่อากาศดี สงบๆ แล้วพิจารณาสิ่งเรากำลังทำใหม่ อย่างช้าๆ ค่อยๆคิด ทีละนิด แล้วความคิดจะดีเองครับ
สมองคนเรา ก็ควรจะได้พักผ่อนบ้าง ความคิดดีๆ จึงจะเกิดครับ

ตอนท้าย ขอฝาก ได้นิดนึงครับ
กรรม มุนา วัตติ โล โก    แปลว่า   อย่าทอดปาท่องโก๋ในกระทะที่ไม่มีน้ำมัน

อย่าคิดมาก พักสมอง ความคิดดีๆ จะเกิดครับ

ปล.ผิดถูก ขออภัยครับ

อมตะธรรม

"กรรมเก่าไม่มีใครลบล้างได้ กรรมปัจจุบันจะช่วยเจ้าเอง"
จงจำไว้ลูกเ่อ๋ย..! กรรมที่ทำด้วยเจตนาไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ย่อมมีผลต่อผู้กระทำทั้งสิ้น ไม่มีพรหมเทพองค์ใดช่วยเจ้าลบล้างกรรมนั้นได้ เจ้าต้องช่วยเหลือตนเอง ด้วยการสวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา ผลแห่งบุญ อันเป็นกรรมปัจจุบันจะช่วยเจ้าเอง
อานิสงส์การสวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตา จะทำให้ลูกรู้แจ้ง ในคำสอนของพระพุทธองค์ กายจะมีความสงบช่วยระงับความทุกข์ร้อน จิตจะเบิกบาน อิ่มเอิบใจมีความสุข ยามนอนหลับเจ้าก็จะเป็นสุข ไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย ยามที่ตื่นก็เป็นสุขมีหน้าผ่องใส มีสง่าราศรี อันตรายจากพิบัติภัยใดๆ ย่อม ทำอันตรายไม่ได้ด้วยเทพพรหมมารักษา เมื่อจะตายย่อมไม่หลงลืมขาดสติสัมปชัญญะ แม้ดวงตายังไม่เห็นธรรม แต่ต้องตายจากโลกนี้เสียก่อนก็จะได้ไปเกิดเป็นถึงชั้นพรหมเลยนะลูกเอ๋ย

ผมอ่านหนังสือ ปัญญาไทย  เขียนโดย พิมพร ชูรอด เป็นหนังสือที่ได้รับจากไปรษณีย์ เมื่อหลายก่อน เห็นว่าเป็นหนังสือที่ดี เล่มนึง จึงนำมาเผยแพร่ให้อ่านกัน (สำหรับคนที่หา Blog ผมเจอนะ) หนังสือเล่มนี้เหมือนจะส่งมาประชาสัมพันธ์โครงการ เพื่อสมทบทุนให้กับสมาคมรวมปัญญาคนพิการ

การช่วยเหลือคนพิการ แบบนี้ ผมคิด(เอง) ว่า เป็นทางเลือกที่ดี ที่เราจะให้โอกาส สำหรับคนพิการ ที่มีอยู่มากมายในสังคมไทย ที่เราเห็น ขาขาด แขนขาด ตาบอด ขอทาน ตามสถานที่ต่างๆ นั้น การให้ทางนั้น เป็นการช่วยเหลือที่ปลายเหตุ เท่านั้น ไม่ยั่งยืนอย่างที่ควรจะเป็น

สำหรับคนที่หา Blog ผมเจอ ก็ขอฝาก หนังสือ ปัญญาไทย ไว้ด้วยนะครับ

สนใจหนังสือ สอบถามได้ที่
สมาคมรวมปัญญาคนพิการ
0-2903-6744
0-2903-6750

อ่าน Blog ผมแล้ว แนะนำติชม ได้ที่ กล่อง Comment ด้วยนะครับ
Blog เพิ่งทำเสร็จใหม่ ผมก็มือใหม่หัดเขียน มือใหม่หัดทำ Blog

ขอขอบคุณครับ

ขยันเหมือนควาย & ซื่อสัตย์เหมือนหมา

ขยันให้เหมือนควาย
ผมมาำทำงาน ที่บริษัท (ไม่ขอเอ่ยชื่อ) ในช่วงแรกๆ ยังอ่อนด้อยประสบการณ์ เพิ่งจบ การศึกษามาใหม่ 
จำได้ว่า พอช่วงตรุษจีน ของปีนั้น ประมาณปี 2537 ผมเริ่มทำงาน ปี 2536 กลางปี ราว กลางปี 
ผู้จัดการโรงงาน เป็นคนจีน ไต้หวัน พูดภาษาไทย ได้ ค่อนข้างดี ฟังเข้าใจ แต่ไม่รู้ว่า เขา เข้าใจความหมาย ภาษาไทย มาก ขนาดไหน พอถึงช่วง ท่านผู้จัดการอวยพร ให้พนักงาน 
คำอวยพร ของท่าน ก็เหมือน คำอวยพร ทั่วไป คือ ขอให้ มีความสุข เจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้าในหน้าที่ การงาน และ ช่วยกัน พัฒนา โรงงานให้เจริญ รุ่งเรืองต่อไป 
แต่ คำอวยพรสุดท้าย ท่าน กล่าวกับพนักงานว่า " ขอให้พนักงานทุกคน ขยันให้เหมือนควาย"
พนักงานทุกคน ได้แต่ กลั้นหัวเราะไว้ในใจ บางคนนึกในใจ "มันให้พร หรือมันด่าวะ"
สำหรับผม ในตอนนั้น เกือบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ 
พอเริ่มเติบโต ในหน้าที่การงาน ผมย้อนนึกถึงคำอวยพร ของท่านผู้จัดการ อีกครั้ง 
อืม เข้าท่าแฮะ "ขยันเหมือนควาย" 
ควาย เป็นสัตว์ที่ขยัน ไม่อู้งาน อดทน  ไม่ว่า งานจะหนักแค่ไหน ควายไม่เคยอู้งาน 
ทำให้ผมนึกถึง เออ ถ้าคนเรา ขยัน เหมือนควาย อดทน เหมือนควาย ชีวิตเรา น่าจะดีกว่านี้ 
เจริญรุ่งเรือง มากกว่านี้  แต่ คนเรา มองควายเป็นสัตว์ที่โง่เขลา หาข้อดีแทบไม่เจอกันเลย 
ด่ากันที ก็ หาว่าคนเป็นควาย ความจริง โดนหาว่าเป็นควาย น่าจะดีเหมือนกัน น่าจะขอบคุณคนด่าด้วยซ้ำ เพราะ ควาย บรรพบุรุษของเรา ถึงได้มีข้าวเลี้ยงเรา เพราะควาย เราถึงมีข้าวกิน เพราะควาย เราถึงมีไร่ มีนา สมัยก่อน บ้านไหน มีควายมาก บ้านนั้น มีฐานะดี แตกต่างจากสมัยนี้ บ้านไหนมีฐานะดี บ้านนั้นมีรถเยอะ สมัยก่อน จะเดินทางไปไหนมาไหน ก็ควายอีกนั้นแหละ เห็นคุณประโยชน์ของ ควายมากขนาดนี้แล้ว โดนด่าว่า เป็นควาย ครั้งต่อไป จงภูมิใจเถอะ มันกำลัง ยกย่องให้เราเป็นบรรพบุรุษของมัน อิอิ

ซื่อสัตย์เหมือนหมา
สันดานหมา เวลาคนเขาด่ากัน เปรียบเทียบเราัเป็นหมาซะงั้น ลองพิจารณาให้ดี เป็นหมา ก็ดีไปอีกอย่าง
หมา ซื่อสัตย์ จงรักภักดี  ผมก็เลี้ยงหมาไว้ เวลาทุกใจ ก็คุยกับหมาได้ มันฟังไม่รู้เรื่องหรอก แต่ เราก็มักจะระบายให้หมาที่บ้านฟัง พอได้ระบาย เราก็รู้สึกดี ขึ้น ที่ได้ระบายความเครียด ความทุกข์ใจให้หมาฟัง 
ชีวิตคนเรา จะเจริญรุ่งเรืองได้ ถ้ามีความซื่อสัตย์เหมือนหมา ไม่คดไม่โกง ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เราก็มีความสุขได้ สำหรับคนที่เนรคุณคน ไม่รู้จะรู้สัก อายหมา บ้างหรือเปล่า 
โดน ด่าว่า สันดานหมา ขอให้ภูมิใจเถอะครับ ไอ้คนที่มันด่าเรานั้น มันกำลังยกย่องเรา ว่าเราเป็นคนซื่อสัตย์ ส่วนมันคนที่เราด่า กำลังด่าตัวเอง ว่าเป็นคนเนรคุณคน

จุดเริ่มต้น

ยังคิดไม่ออก ว่าจะเขียนอะไรดี
สำหรับ blog นี้ ทำเพื่อ อะไร ยังไม่รู้เลย
สงสัย นึกอยากจะทำ ก็ ทำ เล่นๆ ไป (อาจเป็นได้)


คงเป็นเพราะ ช่วงนี้ สมอง ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
หรือไม่ก็ ถูกใช้งาน หนัก เกินไป  จึงได้คิดทำ Blog นี้ ขึ้นมา


เผื่อ จะมีความคิด ใหม่ๆ ดีๆ เกิดขึ้น บ้างก็ได้


อยากเขียนอะไร ก็เขียน อยากทำอะไร ก็ทำ
นึกไม่ออก ก็มาเขียน ในนี้ละกัน


เขียนเท่านี้แหละ ไว้เขียนใหม่ ใน ก้าวที่สองละกัน