เรื่อง หมาๆ ของคำว่า "ประหยัดพลังงานไฟฟ้า"

ระหว่างที่นั่งคุยกันเรื่อง การประหยัดพลังงานไฟฟ้า ในที่พัก พวกเราก็จับกลุ่มตั้งวงคุยกันในเรื่องนี้ และสิ่งที่ผมกับเพื่อนๆ ได้ลงมือทำไปล่วงหน้าแล้ว คือการ ปิดสวิทย์ไฟ บางส่วนที่ไม่มีความจำเป็น และการถอดหลอดไฟ ที่ไม่มีความจำเป็นออกไปแล้ว และกำลังคิดกันว่าจะทำยังไงต่อไปเพื่อจะลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในส่วนนี้ให้ได้มากที่สุดโดยที่ไม่เดือดร้อนเรื่องการไม่มีไฟฟ้าใช้ นั่นเป็นเพราะว่าผมโดนตำหนิเรื่องนี้มา (โดนด่านั่นแหละครับ)

พลัน ก็มีหนึ่งเสียง พูดขึ้นมาว่า "จะประหยัดไฟ คือ ไม่ต้องใช้ไฟ"  โอ แม่เจ้า เจ้าของเสียงนี้ ผมแทบจะไม่อยากจะเชื่อว่าจะหลุดมาจากปากคนผู้นี้เลยสักนิด เพราะว่า คนผู้นี้ มัน ขอใช้คำว่า มัน นะครับ มันเป็นถึง อาจารย์สอนหนังสือเด็กโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่า คนที่เป็นถึงครู อาจารย์ จะพูดออกได้ แบบนี้ (หมาชัดๆ)

ทนอยู่ในวงสนทนาไม่ได้ ต้องลุกเดินหนีออกไป (ไปให้ข้าวหมา ดีกว่า) ปัจจุบัน ค่าไฟฟ้าในส่วนที่ผมและคนที่เห็นด้วยได้ลงมือทำนั้น มันประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี เดือนแรก ลดลงในระดับที่น่าพอใจ ไม่ถึงกับมาก เดือนที่สอง ลดลงมากจนคิดน่าจะเป็นผลดีที่สุดแล้ว สำหรับมาตรการ ประหยัดพลังไฟฟ้าในที่พักแห่ง และที่สำคัญ คำพูดหมาๆ ของอาจารย์คนนั้น มันจะต้องสะอึกแน่นอน

โจรห้าร้อย .... ในป่าคอนกรีต

คำว่าโจร ค้นในพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน แบ่งออกได้เป็น โจรห้าร้อยและ โจรกรรม
 

โจรห้าร้อย คำนี้ใช้เรียกขาน พวกคนชั่ว ว่าเป็นพวกโจร แย่งชิง ปล้น ทรัพย์  คนพวกนี้มันชั่วช้าสามานต์ได้ใจจิงๆ ในปัจจุบัน โจรพวกนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนสภาพตัวเอง ซึ่งนับว่าเป็นวิวัฒนาการทางสายพันธ์แนวใหม่ เพื่อให้เข้ากับสภาพในปัจจุบัน พวกมันอยู่ในสังคมในปัจจุบันได้อย่างไม่ต้องหลบ ไม่ต้องซ่อน และกระทำการ แย่งชิง ปล้น ทรัพย์ได้อย่างถูกกฎหมาย และยังเดินเสนอหน้าในสังคมในสื่อโทรทัศน์ได้อย่างไม่มียางอายเลย
 

ในอดีต โจรพวกนี้จะใส่เสื้อผ้ายังไงก็ได้ หลากหลาย แล้วแต่ว่าจะหามาใส่เพื่อห่อหุ้มร่างกาย และปกปิดใบหน้าเวลาออกทำความชั่ว และส่วนใหญ่จะมันออกทำชั่วในเวลากลางคืนซะมากกว่า ไม่รู้มันอายอะไร แต่ในปัจจุบัน โจรที่ว่า มันพัฒนาการมาจนถึงขึ้นมีชุดทำงานเป็นสีเดียวกัน มีหมวก มีอาวุธสามารถเดินถือไปในที่สาธารณะได้อย่างเปิดเผย ชุดทำงานของโจรพวกนี้จะมีสีกีกา อีกอย่างสมัยก่อนใช้ม้าแต่สมัยนี้พวกมันมีรถ ก็ไม่ได้ซื้อเองอีก พวกมันได้รับการบริจาคพาหนะในการใช้ทำชั่วมาด้วย ทั้งรถสองล้อ สี่ล้อ ดูๆไปก็ไม่ต่างอะไรกับขอทานมีเครื่องแบบดีๆนี่เอง
 

พัฒนาการทางสปีชีย์ของพวกมันก็ไม่ได้แพ้สิ่งมีชีวิตใดๆในโลกเลยแม้แต่น้อย สายพันธ์แห่งความชั่ว สายพันธ์แห่งความกักขระ สายพันธ์คอยจ้องหาความร่ำรวยในทางที่ผิด พวกมันสันดานโจรสิงสถิตย์ไปทุกที่ ในป่าคอนกรีตที่ขนานนามว่าเมืองแห่งเทพ สายพันธ์ของพวกมันยิ่งมีมากกว่าที่ไหนๆ  พันธุกรรมที่ชั่วช้าสามานต์เหล่านี้ไม่เคยจางหายไปจากสังคม มีแต่จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
 

กฏหมายมีไว้เพื่อควบคุมพลเมืองให้อยู่ในกรอบแห่งความถูกต้อง กรอบแห่งความดีงาม แต่กฏหมายก็เป็นเครื่องหรืออาวุธชั้นดีที่ทำให้สายพันธ์แห่งพันธุกรรมที่ชั่วร้าย นำมาใช้เพื่อปกป้องตัวเองและใช้เป็นอาวุธปล้น ชิง แย่ง มาซึ่งทรัพย์สินของพลเมือง เพราะว่าพวกมันถือว่า ตัวเองเป็นผู้รักษากฎหมายนั่นเอง

ห่อยังไงก็ล่าย....ให้ลูกค้าแกะลำบากที่สวด

เสียงอาแป๊ะสั่งลูกน้องที่กำลังแพ็คของเตรียมส่งลูกค้า "ห่อยังไงก็ล่าย... ให้ลูกค้าแกะลำบากที่สวด" ฟังดูเหมือนจะขำ แต่ความจริง เรื่องแบบนี้ อาจจะมีอยู่จริง....ก็ล่ายครับ 

หลายครั้งเหมือนกันที่ซื้อกับข้าวถุงมากินที่บ้าน พ่อค้าแม่ค้ากับข้าวจะมัดถุงอย่างดี โป่งลม แต่กับข้าวมีนิดเดียวแค่ก้นถุงเท่านั้นเอง ที่เหลือเป็นอากาศล้วนๆ มัดจนแน่น และหลายครั้งที่มักแกะหนังยางที่รัดถุงไม่ออก ฮึ มันจะมัดอะไรของมันแน่นหนาขนาดนั้น หิวก็หิว ยังจะแกะยากแกะเย็นอีก ว่าแล้วก็ มีดคมๆ นี่แหละ เฉือนปากถุงซะ...........  แล้วก็โยนให้หมากิน ฮ่าๆๆ (ก็มันอาหารหมาน่ะที่ซื้อมา)

รถคันนี้ ............. ไม่มีเกียร์ถอย


เชื่อผมมั้ยครับ ในโลกนี้ มีรถที่ไม่มีเกียร์ถอยอยู่และไม่ได้มีคนเดียวด้วย มีเพียบเลยแหละครับ หลายคนคงคิดว่า จะบ้าเหรอ แล้วเวลาจะถอยจอดทำไง เข็นเหรอ ไม่เอาง่ะ เหนื่อย ใช่ครับ เข็นรถเหนื่อยจริงๆ ถ้าระยะทางใกล้ๆ ก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าระยะทางใกลๆ ละก็ หึหึ...

รถที่ไม่มีเกียร์ที่ผมกำลังจะกล่าวถึง คือ ชีวิตคนเรานี่แหละครับ (โม้มั้งครับ ผมชอบโม้)  หลายครั้งและหลายเรื่องที่ผมมักจะเปรียบเทียบกับการใช้ชีวิตในปัจจุบันและที่ผ่านมา ผมผิดพลาดอะไร ตรงไหน เกิดอะไรขึ้นและผมผ่านมาได้ยังไง บางเรื่องก็จำได้ บางเรื่องก็ทิ้งมันไปเลย

เส้นทางชีวิตที่ผ่านมา เปรียบเหมือนผมกำลังขับรถไปตามเส้นทางอยู่ในขณะนี้ มองเห็นทางข้างหน้าใกลสุดลูกตา ครับ มันใกลจริงๆ และผมก็ขับรถมาได้ใกลมากด้วย ผมเคยหยุดพักมั้ย เคยครับ ผมเคยคิดจะถอยมั้ย เคยครับ (แต่มันหาเกียร์ถอยไม่เจอ) อุปสรรคต่างๆระห่างทาง มันก็มีนะครับ มีมากมีน้อย ตามแต่สถานณ์ในขณะนั้น ทุกชีวิต ผมเชื่อว่ามีเป้าหมายของตัวเองทั้งนั้น และมีเส้นทางที่ทุกคนเลือกที่จะเดินทางไปทั้งนั้น และทุกคนก็ออกเดินทางตามที่ได้เลือกไว้ ก่อนออกเดินทาง ผมเชื่อว่า ทุกมีความฝันอันสวยหรู งดงาม โดยอาจจะลืมคิดถึงอุปสรรคไปเลยแหละครับ ผมก็เป็นแบบนั้น เหมือนกัน อุปสรรคระหว่างมีมากมายและมันก็ไม่ได้แจ้งให้รู้ล่วงหน้าด้วยนะครับ ต่อให้วางแผนการเดินทางมาดีแค่ไหน อย่างน้อยก็ควระเผื่ออุปสรรคบ้างก็ดีนะครับ เพราะชีวิตคือการเดินทาง เดินไปตามฝันของตัวเอง

คนที่จะเดินไปถึงจุดหมายปลายทางที่ฝันได้ คือคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ท้อได้ แต่ถอยไม่ได้ เหนื่อยได้แต่อย่าเหนื่อยนาน ผิดพลาดได้ แล้วก็แก้ไขใหม่ เรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ผมจำวลีหนึ่งได้ จาก ซีรีส์ ญี่ปุ่นเรื่อง จิน หมอทะลุมิติ ออกอากาศ ทางทีวีไทย เมื่อปี 2554 แต่จำไม่ได้ว่าประมาณเดินไหน ผมประทับประโยคที่ว่า "พระเจ้า ประทานอุปสรรคมา เพื่อให้เรา ก้าวผ่าน"

ขอขอบคุณภาพประกอบจากเพื่อนคนหนึ่ง (ไม่ขอเปิดเผยนาม) ครับ

เรื่องของไม้ท่อนหนึ่ง มันยากขนาดนั้นเลยหรือ


เช้าวันนี้ (21 สิงหาคม 2555) ตอนมาทำงาน ผ่านร้านขายไม้แกะสลัก ระหว่างที่จอดรถรอผ่านสี่แยก สายตาอันคมกริบของผม ฮ่าๆๆ (เหมือนจะโม้เลย) ก็เหลือบไปเห็น รูปม้า รูปช้าง รูปสิงห์โต และอีกหลายอย่างที่ช่างแกะสลักไม้ จากท่อนไม้ท่อนหนึ่ง มาเป็นรูปต่างได้อย่างสวยงาม โอ ช่างแกะนี่ คงมีฝีมือใช่ย่อย เพราะมันคือ งานศิลปะ (จำคำพูดของใครมาก็ไม่รู้)

มันสวยนะครับ ในมุมมองของผม เหมาะที่จะนำไปตั้งโชว์ ในบ้าน ในร้านอาหาร หรือ ร้านกาแฟ  ก็มีคำถามสำหรับคนที่แกะไม่เป็น(อย่างผม) หรือใครต่อใครที่ชอบงานแบบนี้แต่ แกะแล้วไม่สวยขนาดนี้ คงจะคิดเหมือนผม มันคงจะยากเนอะ กว่าจะแกะไม้ทีละนิดๆ จนมาเป็นรูปร่างสัตว์ต่างๆ ที่งดงามได้ขนาดนี้ ลองไปถามช่างแกะดู เขาก็ตอบว่า ไม่ยากหรอก จะไปยากได้ไง ก็เขาฝึกฝนมา จนชำนาญและช่ำชองขนาดนั้น คงจะผ่านความล้มเหลว ผ่านความผิดพลาดมานับไม่ถ้วน ผมคิดอย่างนั้นจริงๆนะ

นึกถึงช่างแกะงานเหล่า ผมก็นึกในใจ ลองตั้งคำถามเล่นๆดู เขาจะตอบยังไง คงจะตอบว่า ต้องเตรียมไม้ที่เราจะแกะ เตรียมอุปกรณ์ในการแกะไม้ (มีอะไรบ้างก็ไม่รู้) เตรียมแบบที่เราต้องการจะแกะให้พร้อม ทุกอย่างพร้อม ลงมือแกะ เริ่มจาก ค่อยๆแกะ กระเทาะไม้ออกทีละนิด แกะไปตามแบบ และต้องใจเย็นๆ รีบร้อนไม่ได้ ต้องตั้งสติมีสมาธิกับงานที่ทำ อืม จริงครับ งานทุกอย่าง ต้องตั้งสติ ทำอย่างมีสติ และมีสมาธิ ใส่ความมุ่งมั่นเข้าไปอีก งานที่ออกมาก็ สวยและเรียบร้อย ได้มาตรฐาน

นั่นเป็นแนวคิดที่ผมบอกว่า ยากเนอะ งานถึงได้ออกมาสวยขนาด แต่ด้วยความที่เป็นที่คิดอะไรที่มันง่ายๆ (ไม่ปวดหัว ไม่เปลืองสมอง) และจากที่เคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่ง จำไม่อีกแล้ว ว่าหนังสือเล่มไหน ผมกลับไปแบบง่ายๆ ว่า งานแกะสลักไม้นี่เหรอ จากท่อนไม้ท่อนหนึ่ง กลมๆ สูงๆ ผมอยากได้รูปช้างจากไม้ท่อนนี้ ไม่ยากเลย ผมก็แค่ แกะไม้ ส่วนที่ไม่ใช่ช้างออกไป เหลือมันไว้แต่ส่วนที่เป็นรูปเหมือนช้าง ก็เท่านั้นเอง เออ คิดได้ง่ายดีเนอะ

เออเนอะ คิดแบบนี้มันง่ายดี จริง ความจริงเรื่องราวทุกอย่าง มีเหตุและผลอยู่ในตัวมันเองอยู่แล้วนะครับ มันอยู่ที่เราต่างหากล่ะ ที่จะทำให้มันยุ่งยากซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ผูกปม ถามว่า ทำไปเพื่ออะไร ได้อะไร ในทางกลับกัน ลองคิดว่า ทำเรื่องราวให้มันง่าย เข้าใจได้ง่ายๆ แลสิ่งที่ง่ายๆ เหล่านี้แหละ มันทำให้เราปลอดโปร่ง โล่งใจ สดชื่น สำหรับผมนะ ส่วนคนอื่น จะคิดยังไง ผมไม่อยากจะคิดแทน เพราะไม่รู้จะตรงหรือไม่ตรง น่ะครับ

จบบทความไว้เท่านี้ก่อนนะครับ ต้องนั่งทำงานแล้ว
เดี่ยวลูกน้องจะตำหนิได้ครับ
สวัสดีครับ


ปล. ไม่มีภาพประกอบนะครับ ถ่ายไม่ทัน รถออกตัวพอดี

ตลาดนัด .... มันเป็นแบบนี้แหละ

เอ่ยถึงตลาดนัด หลายคนคงนึกภาพออกนะครับ มันเป็นศูนย์ของสินค้ามากมาย ราคาถูกบ้างแพงบ้างก็ตามแต่ผู้ขายแต่ละคนจะมีต้นทุนที่ต่างกันออกไป นอกจากนี้ มันยังเป็นศูนย์ของเหล่ามิจฉาชีพอีกด้วยนะครับ เออ เดินไม่ระวัง ตังค์หายไม่รู้ตัวด้วยนะ ผมก็เป็นอีกคนนึง ชอบไปเดินตลาดนัด หลังเลิกงาน เป้าหมายหลักไปซื้อกับข้าวถุง มีเวลาก็เดินเล่นดูโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย เหมือนชาวบ้านทั่วไป

เดินตลาดนัด ผมก็มีเป้าหมายรองด้วยนะ ผมชอบเดินดูโน่นนี่ไปเรื่อย ในหัวคิดไว้ ซักวัน อาจจะต้องแปลงร่างมาเป็นพ่อค้าเร่ ขายของตามตลาดนัดแบบนี้บ้าง คิดแล้วน่าสนุกนะ บอกกับตัวเองแบบนี้ ไม่ใช่อะไรหรอก ทำงานประจำมานาน เริ่มเบื่อน่ะครับ

ความเข้าใจเดิมๆ เกี่ยวกับพ่อค้าแม่ค้าในตลาด มันต้องปากตลาด คือ เถียงเก่ง ด่าเก่ง เรานะหรือ จะไปด่ากับใครหว่า เพราะปกติ ก็ไม่ได้ด่าใครอยู่แล้ว แม้แต่ลูกน้องทำงานให้ผมผิดพลาด ผมยังไม่ด่าอะไรเลยได้แต่บอกว่า ไม่เป็นไร เอาไปแก้ใหม่ เท่านั้นเอง ไม่ได้โม้นะครับ ผมใจดีแบบนั้นกับลูกน้องผมจริงๆ

กลับมาที่ตลาดนัดกัน นอกเรื่องไปละ ตลาดนัดทั่วๆไป เดินดูดี บางครั้งเราอาจะได้ของดีราคาถูกๆๆ ติดไม้ติดมือมาด้วยนะครับ เพราะมันมีขายเกือบทุกอย่าง ตั้งแต่ ของกินของใช้ บางครั้งก็มีอะไรเก๋ๆ ไอเดียดีๆ ให้เห็นอยู่บ่อยๆ สินค้า ก็มีมากมาย จากต่างประเทศก็มีนะเออ คุณภาพดีด้วย ผมเคยเห็น ของใช้ในบ้าน เครื่องไม้เครื่องมือ เป็นสินค้ามือสอง จากประเทศ อีหยิบ ครับ มันขายราคาถูกๆ เพราะมัน ไปหยิบมาจากบ้านใครก็ไม่รู้ เอามาวางขายกันเกลื่อนตลาดไปหมด

แม้แต่โทรศัพท์ ไอโพน ไอแพด สินค้าเทคโนโลยีชั้นสูง แม้แต่ samsung galaxy ที่มียอดขาย ก็มีขาย มันขายกันถูกๆด้วย สินค้าทุกชิ้นมีรับประกันตลอดอายุการใช้งาน (ไม่เกิน 3 เดือน) โทรศัพท์ยี่ห้อดัง ก็เป็นของแท้ จากประเทศจีนอีกเชียวล่ะครับ

มีเรื่องเล่าที่ไปอ่านเจอมา ครับ ขอขยายความต่อละกัน อาจจะเป็นการจุดประกายให้ใครหลายคนอยากมาค้าขายตามตลาดนัดดูบ้าง
พ่อค้าหน้าใหม่ คนหนึ่ง ตั้งใจจะไปขายของที่ตลาดนัด ก็เริ่มไปจับจองที่ ตั้งแผงขายของ ระหว่างรอคิวจอง ก็คุยกับ พ่อค้าแม่ค้าที่เขาขายมาก่อน
 

พ่อค้าหน้าใหม่ :พี่ครับ ที่ตลาดนี้ คนเดินเยอะมั้ยครับ วันนึงอ่ะครับ
พ่อค้าหน้าเก่า :ก็เยอะนะ ยิ่งเย็น คนยิ่งออกมาเดินเยอะขึ้นเรื่อยๆน่ะ
พ่อค้าหน้าใหม่ :เหรอครับ ดีจัง ผมกำลังจะมาตั้งแผงขายที่น่ะครับ ฝากตัวด้วยนะครับ
พ่อค้าหน้าเก่า : อืม ดีๆๆ เดี่ยวก็จะรู้จักพวกพ่อค้าแม่ค้าเยอะขึ้นเอง มีไรก็คุยกัน
พ่อค้าหน้าใหม่: เออพี่ แล้ววันนึง ที่ตลาดนี้ขายได้เยอะมั้ยครับ
พ่อค้าหน้าเก่า: วันที่ขายไม่ดี ก็ ตกประมาณ วันละ 1,500 - 2,000 น่ะนะ
พ่อค้าหน้าใหม่ :โห ขนาดวันที่ขายไม่ดีนะครับ ยังได้ขนาดนี้เลยเหรอ แล้ววันที่ขายดีล่ะครับพี่
พ่อค้าหน้าเก่า : วันที่ขายไม่ดีน่ะเหรอ พี่ไม่รู้หรอก เพราะ พี่ขายมาหลายปีละ ยังไม่เคยเจอเลย



เนื้อเรื่องบางส่วนผมอ่านเจอในกระทู้ Thaiseoboard ครับ และเอามาขยายต่อ แต่จำกระทู้ไม่ได้ต้องขออภัยนะครับ

ใคร ........ มาย้ายท้องฟ้าฉันไป

เชื่อว่าหลายคนคงเคยนั่งมองท้องฟ้า และในบรรยกาศที่แตกต่างกันตามแต่ละท้องที่หรือสถานที่เราต่างก็นั่งมองกันนะครับ ผมก็เป็นอีกคนนึง ที่ชอบเหม่อมองท้องฟ้า ในเวลาที่ผมมีเรื่องให้ครุ่นคิดในใจ ไม่ได้คิดถึงสาวๆที่ไหนหรอกนะครับ  ฮ่าๆ แล้วเคยคิดกันบ้างไหมครับ ว่า ท้องฟ้านั่น บางครั้ง ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากชีวิตคนเราเท่าไหร่ ผมคิดอย่างนั้นนะ คิดแบบนั้นจริงๆ

ในช่วงเวลาที่จิตใจเราหม่นหมอง ทุกข์ใจ มีมีเศร้าใจ หรืออะไรก็ตามแต่ ตามความคิดของผม มันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากท้องฟ้าที่มีกลุ่มเมฆดำทะมึน ฝนตั้งเค้าจะตก ท้องฟ้าที่ว่า สดใส ก็หาความสดใส ไม่เจอ แต่เมฆ ครึ้มฟ้าครึ้มฝนเต็มไปหมด ดูแล้ว มันก็น่ากลัวนะครับ ว่ามั้ย 

พอเมฆฝนดำทะมึนผ่านพ้นไปฝนก็หยุดตก ท้องฟ้าก็กลับมามีชีวิตชีวาสดใส สวยงามเหมือนเดิม แล้วมันต่างจากชีวิตคนเรามั้ยครับ สิ่งร้ายๆผ่านพ้นไป ชีวิตเราก็มีความสุขเหมือนท้องฟ้านั่นไงครับ ปัญหาในชีวิต ก็เหมือนเมฆดำเหล่านั้น มันผ่านมา ถึงเวลา มันผ่านไป ขอเพียงใจเราสงบ ตั้งสติค่อยๆคิดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและหาทางแก้ไข มีคำกล่าวไว้ ผมไม่รู้หรอกว่า คนแรกที่กล่าวคำนี้ เป็นใคร ชื่ออะไร และยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว ก็อาจจะรู้ได้ ทุกปัญหามีทางออกเสมอ วลีอมตะคำนี้แหละครับ ก็เหมือนเมฆดำเหล่านั้น ไม่นานมันก็ผ่านพ้นไป

ในตอนกลางคืน ท้องฟ้ามันมึดมิดมีแต่ดาว หรืออาจจะไม่มีเป็นบางวัน เคยคิดมั้ยครับ ว่า ท้องฟ้าที่สดใสนั้น มันหายไปไหนแล้ว ความจริง ท้องฟ้าไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ ไม่ใครสามาถย้ายท้องฟ้าหนีไปไหนได้หรอกครับ เราต่างหากที่มองไม่เห็นท้องฟ้าเอง หรือว่าใครนอนหลับแล้วยังสามารถมองเห็นท้องฟ้าได้ ผมขอนับถือนะครับ

ท้องฟ้ายังไงก็ยังเป็นท้องฟ้า มีสิ่งที่มาบดบังบ้าง มืดมิดบ้าง พอเวลาผ่านพ้นไป ท้องฟ้าก็ยังเป็นท้องที่สดใสอยู่เหมือนเดิม ใจคนก็เหมือนกัน มีทุกข์ มีสุข มีเศร้า ไม่นาน มันก็แค่ลมพัดผ่านมากระทบใจเท่านั้น ปล่อยให้ผ่านพ้น ไม่นานจิตใจเราก็เป็นปกติเองครับ 

ขอจบบทความนี้ไว้เท่านี้นะครับ ผมก็เพ้อเจ้อไปเรื่อยเปื่อยน่ะครับ


ภาพประกอบ จาก  http://writer.dek-d.com/seeks/story/view.php?id=671069

พระอรหันต์ ในบ้านเรา

ในภาพที่นำมาใส่ไว้ในบล็อกแห่งนี้ เป็นรูปถ่ายของผู้หญิงที่สวยที่สุด...... ในบ้านของผมครับ ในบรรดาลูกๆ ของผู้หญิงในรูปภาพนั้น ไม่มีใครจะสวยเท่าเขาได้เลย เพราะบรรดาลูกๆ ทั้งสามคน นั้น เป็นผู้ชายทั้งหมด รวมทั้งผมด้วย ครับ แม่ผมจึงเป็นผู้หญิงที่สวยและประเสริฐที่สุดของพวกเรา สามพี่น้อง ผมเป็นลูกคนที่สองของแม่

พ่อแม่ คือผู้ประเสริฐสำหรับลูกๆทุกคน บทความนี้ผมจึงเขียนเพราะว่า วันแม่ที่ผ่าน ผมทำงานเพลินจนลืมพระอรหันต์ องค์นี้ไป องค์ที่ประเสริฐ ที่สุด ผู้ให้ชีวิตผม อบรม ให้ความรู้ ส่งผมเรียน และเลี้ยงดูผมจนเติบใหญ่ขึ้นมา สรุปว่า ปีนี้ (2555) ผมเป็นลูกที่ไม่ได้ความเลยจริงๆ ทำงานเพลิน จนลืมท่านไป จนท่านต้องโทรมาด้วยตัวเอง แต่แม่ผมไม่เครียดนะ ท่านหัวเราะชอบใจ ที่ได้ยินเสียงลูกชายคนนี้ 

ในรูปถ่าย แม่ กำลังตีฆ้อง แต่ไม่ร้องป่าว นะครับ ทุกครั้งที่ผมกลับไปบ้าน ผมมักจะชวนแม่ไปกราบ พระธาตุ นาดูน แห่งนี้ พระธาตุนาดูน ตั้งอยู่ที่ อำเภอ นาดูน จังหวัดมหาสารคาม ขับรถไป 26 กิโลเมตร ก็ถึง เคยชวนเพื่อนๆ และ น้องๆ ในที่ทำงานไปเที่ยวด้วย ต่างก็ชอบอกชอบใจกันใหญ่ เพราะ ได้วัตถุมงคลกลับ   พระธาตุนาดูนแห่งนี้ เริ่มก่อสร้างเพื่อบรรจุ พระบรมธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนใหนนั้นผมจำไม่ได้ เริ่มก่อสร้างตั้งสมัยที่ผมยังเป็นเด็กประถมอยู่เลย เคยไปดูตอนที่เขากำลังก่อสร้าง สมัยนั้น มันใหญ่โตมาก และที่อำเภอนาดูน แห่งนี้ ยังมี หลายพื้นที่รอบๆ บริเวณพระธาตุ ได้ค้นพบ วัตถุโบราณ อายุ กว่า 2,000 ปี สองพันปี เชียวนะครับ

จำได้ว่า สมัยที่ผมยังเป็นเด็ก มีรถบรรทุกดินที่ขนมาจาก บริเวณพระธาตุ มาเทไว้ที่ ใกล้ๆบ้าน ผมกับพี่ชาย ออกไป เกลี่ยๆ ขุดๆๆ ได้พระเนื้อดิน มา ก็หลายองค์ เป็นพระเก่าๆทั้งนั้น สภาพพระก็ไม่ได้สวยหรอกครับ แต่คุณค่าทางใจมากล้นจริงๆ ทุกวันนี้ ไม่มีใครไปขุดแล้วครับ เพระเจอดีกันถ้วนหน้า

ว่าจะเขียนเรื่องพระอรหันต์ในบ้าน ร่ายเรื่องพระธาตุซะยาวเลย
พ่อแม่ทุกคน เป็นพระอรหันต์ที่อยู่ในบ้านของทุกคน ท่านมีน้ำใจบริสุทธิ์ต่อลูกๆ ทุกคน ไม่ลูกๆของท่านจะดีจะชั่ว เชื่อเถอะ ยังไงพ่อแม่ท่านก็รักลูกๆ ทุกคน เท่ากันหมด ไม่มีลำเอียง แต่ลูกๆ พอเติบใหญ่ ได้ดิบได้ดี หรือไม่ได้อะไรเลย ก็ช่าง มักจะลืมพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพ่อกับแม่ ไม่งั้น กระทิงแดง คงไม่ทำโฆษณา ออกมาหรอกครับ

ผมเชื่อว่า ในวัยเด็ก เราทุกคน ต่างก็ ไร้เดียงสา ซุกซน รู้เท่าไม่ถึงการณ์  เคยหยิก ข่วน เตะ ด่าทอ พ่อแม่ ด้วยควาไม่พอใจ ที่ท่านห้ามโน่นห้ามนี่ไปหมด แต่เราทุกคนกับไม่รู้ว่า สิ่งที่ทำลงไปนั้น พ่อแม่ ไม่ได้ถือโทษหรือโกรธเคืองพวกเราเลย ตรงกันข้าม ท่านยิ่งรักพวกเรามากขึ้น ผมเชื่ออย่างนั้นนะ

ทำบุญใส่บาตร สร้างพระประทาน หรืออะไรก็ตามแต่ ผลบุญเหล่านั้น ยังไม่เทียบเท่ากับที่เราทำบุญกับพ่อแม่ ผมจำได้ วันที่ผมบวชให้แม่ น้ำตาแม่ใหลออกมาเป็นทางเลยแหละ เพราะ ท่านปลาบปลื้ม ยินดี  ตั้งแต่เกิดมา พวกเราทุก ก้มกราบเท้าพ่อแม่ กัน อยู่บ่อยๆ แต่วันที่ผมบวชเป็นพระ ทันทีก้าวเท้าออกมาจากโบสถ์ที่ทำพิธีบวชเสร็จ คนแรกที่ก้มกราบเท้าพระใหม่อย่างผม คือแม่ของผมเอง

ท้ายบทความ ขอให้พวกเราทุกคน รักและเคารพพ่อแม่ให้มาก เพราะชั่วชีวิตนี้ พวกเราทุกคน มีพ่อแม่ แค่คนเดียวเท่านั้น  พ่อแม่ผู้ทำให้เกิดมา และดูแลเราจนเติบใหญ่เป็นคนอยู่ทุกวัน ล้วนเป็นน้ำใจอันบริสุทธิ์ของท่านทั้งสอง อย่าได้ทำร้ายพ่อแม่ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมกันอีกเลยนะครับ

ฉันกำลังคิดอะไรอยู่???????

วันนี้ ( 9 สิงหาคม 2555) ก่อนจะลงมือทำงาน ผมได้เข้าไปนั่งอ่านกระทู้ ได้เห็นแนวความคิดที่ คิดว่าบรรเจิด (สำหรับผมนะ)  กับคำพูดที่ว่า "ลงมือให้น้อย คิดให้มาก" ทำให้ผมได้คิด อะไรบางอย่าง ผมกำลังทำอะไรอยู่?  และ ผมกำลังคิดอะไรอยู่? เป็นคำถามที่ผมเอง ก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่เจอ ผมใช้คำว่าไม่เจอนะคับ ไม่ใช่ตอบไม่ได้ ในแต่ละวัน ผมคิดหลายเรื่อง ทำหลายอย่าง และสิ่งที่คิด และ ลงมือทำ ก็ยังไม่สัมฤทธิ์ผลอย่างที่ตั้งเป้าไว้ ผมอาจจะคิดผิด ก็ได้ ทั้งหมดนั้น ผมคิดของผมคนเดียว  คิดเอง และ ลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่ปรึกษา ใคร

หลายวันก่อน ก็ อ่านเจอกระทู้ที่น่าสนใจ(มาก) กระทู้หนึ่ง หัวข้อกระทู้ผมจำไม่ได้แล้ว แต่ ได้รับรู้ว่า คนจีน ที่ว่า มีประชากรมากที่สุดในโลก มีคนระดับเศรษฐี มากมาย แค่ คนยิว มีประชากรน้อยกว่า แต่ มีคนระดับเศรษฐี มากกว่าคนจีน หลายเท่าตัว ด้วยปรัชญาการค้า ของชาวยิว ที่แตกต่างจากชาวจีน อย่างสุดโต่ง ชาวจีน เน้น กำไรน้อย ขายมาก เมื่อขายได้มากๆ กำไร ก็จะมากตามสัดส่วนที่ขายได้ แต่ ชาวยิว เน้น ขายน้อย กำไรมาก  เป็นแนวคิดที่ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิง จริงๆ สำหรับผม 

ถึงตรงนี้ ผมก็ได้คิด ผมมีเป้าหมายชัดเจน แต่การปฏิบัติและลงมือทำ ผมสรุปด้วยมาตรฐานของตัวเองได้แล้วว่า ผมให้เวลากับความคิดของตัวเองน้อยเกินไป ทั้งที่ความคิดนั้น มันยังไม่ลงตัว เรียกว่า ฝืนทำทั้งที่ยังไม่พร้อมนั่นเอง

การเดินทางยังไม่สิ้นสุด เหนื่อยก็หยุดพัก รวบรวมพลังลุกขึ้นมา แล้วเดินต่อไป
ใจสู้ซะอย่าง จริงมั้ยครับ